รีโนเวต โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ทุ่ม200ล้าน

"แอมบาสซาเดอร์" ทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท กางแผนรีโนเวตโรงแรม ทยอยปรับปรุงตั้งแต่ปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า โดยจะสร้างจุดขายใหม่ของห้องพักแบบการ์เด้นสวีต สไตล์เจแปนนิสจากุชชี่ในสวนแห่งแรกในกรุงเทพฯทั้งเปิดตัวห้องอาหารใหม่สไตล์นิวออร์ลีนปลายปีนี้ ทั้งปรับห้องสแตนดาร์ดเป็นแฟมิลี่ สวีต ช่วงกลางปีหน้า ตั้งเป้าโกยรายได้กว่า 460 ล้านบาท

นายมาร์เซล ซอร์เยอร์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในขณะนี้แอมบาสซาเดอร์ กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุง(รีโนเวต)โรงแรมในหลายส่วน โดยในช่วงปลายปีนี้ มีแผนจะปิดบริเวณชั้น 4 ในส่วนของทาวเวอร์วิง ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อทำการปรับปรุง
(รีโนเวต)ห้องพักใหม่ ให้เป็นห้องการ์เด้น สวีต จำนวน 9 ห้อง โดยเป็นห้องพักพร้อมสวนมี 1 และ 2 ห้องนอน ทั้งจะมีเจแปนนิสจากุชชี่ในสวน ซึ่งเป็นที่แรกในกรุงเทพฯ พร้อมกันนี้ยังมีแผนรีโนเวตส่วนฟิตเนสให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงสปา ซึ่งจะย้ายมาอยู่กลางสวนในรูปแบบเชนสไตล์ ตลอดจนเตรียมสร้างห้องอาหารใหม่ให้เป็นแบบนิวออร์ลีนสไตล์ ภายใต้งบลงทุนราว 100 ล้านบาท
ประกอบกับในช่วงกลางปี 2555 ยังมีแผนรีโนเวตห้องพักแบบสแตนดาร์ดในส่วนของอาคารเมนวิงเป็นห้องแฟมิลี่ สวีต จำนวน 30 ห้อง ใช้งบในส่วนนี้อีกราว 90 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการปรับปรุงต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ใช้งบราว 300 ล้านบาทในการรีโนเวตห้องพัก ห้องอาหารต่างๆ ในโรงแรม ทางเข้าโรงแรม และล็อบบี้ไปแล้ว ซึ่งการที่ต้องปรับปรุงโรงแรมใหม่นั้น เนื่องจากตึกเมนวิงมีอายุราว 45 ปี และทาวเวอร์วิงมีอายุราว 40 ปี ดังนั้นจึงต้องมีการอัพเดตโปรดักต์อยู่เสมอ
มาร์เซล ซอร์เยอร์มาร์เซล ซอร์เยอร์ ขณะที่จุดเด่นของแอมบาสซาเดอร์ อยู่ที่การเป็นโรงแรมที่ไม่ได้บริหารโดยเชน ทำให้สามารถควบคุมได้ดีกว่าโรงแรมที่ใช้เชนบริหาร และจะมีอำนาจการตัดสินใจที่ง่ายกว่า รวมถึงด้านราคาโรงแรมที่บริหารเองจะสามารถกำหนดราคาได้เอง รวมถึงแอมบาสซาเดอร์ยังเป็นโรงแรมชั้นนำที่มีชื่อเสียง และยังเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่มีตำนาน รวมถึงการอยู่ในโลเกชันที่เป็นศูนย์กลาง ใกล้แหล่งช็อปปิ้งและศูนย์ประชุม

อีกทั้งแอมบาสซาเดอร์ ยังมีตำแหน่งเป็นไมซ์โฮเต็ลหรือโรงแรมสำหรับการประชุมและสัมมนา สำหรับคนไทยจากทั่วประเทศ เพราะมีห้องพักรองรับมากถึง 760 ห้อง มีห้องคอนเวนชันรองรับได้กว่า 2,000 คน แบ่งเป็นสัดส่วนของลูกค้ากลุ่มไมซ์ราว 40% กลุ่มนักท่องเที่ยวพักผ่อนที่เดินทางด้วยตนเองหรือเอฟไอทีเลเชอร์ราว 45% และกลุ่มคอร์ปอเรตราว 15% ที่มาจากตลาดเอเชียราว 90% และ 10% เป็นกลุ่มยุโรปตะวันตก และขณะนี้จะเน้นการขยายสู่ตลาดยุโรปมากขึ้นสำหรับงานคอนเฟอเรนต์ขนาดใหญ่
ส่วนกลยุทธ์ในการทำตลาด โรงแรมมุ่งเน้นการให้บริการที่ดีและทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าจ่ายไม่สูง แต่คุ้มค่า หรือ Good Value for Money โดยจะมีการออกโปรโมชันเพื่อกระตุ้นลูกค้าอยู่เสมอ เช่น โปรโมชันพัก 3 จ่าย 2 รวมถึงโปรโมชันในส่วนของ F&B ที่จะมีการเปลี่ยนทุก 3 เดือนให้เหมาะกับเทศกาล เช่น ในขณะนี้มีเทศกาลอาหารฮาลาล ประกอบกับการเข้าร่วมงานเทรดโชว์ต่างๆ ตลอดจนมุ่งเน้นเข้าร่วมโรดโชว์ต่างๆในเอเชีย เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน และดูไบ เป็นต้น รวมถึงในปีหน้าก็มีแผนจะเข้าร่วมงาน ITB ที่เบอร์ลิน และจะเข้าร่วมงานอินเตอร์เนชั่นแนลไมซ์คอมปะนี โดยเป็นการเน้นโรดโชว์ที่อเมริกาและออสเตรเลียด้วย

สำหรับแนวโน้มธุรกิจโรงแรมในไทย ลูกค้าจะเปลี่ยนจากกลุ่มยุโรป เป็นเอเชีย ส่วนกลุ่มคอร์ปอเรตจะเปลี่ยนเป็นเลเชอร์ ทำให้ขณะนี้นักท่องเที่ยวจะมองโรงแรมระดับ 3 และ 4 ดาว ในขณะที่โรงแรม 5 ดาวจะต้องทำราคาให้ต่ำลง เพราะเศรษฐกิจเปลี่ยน นักท่องเที่ยวหันมามองความคุ้มค่าเงินมากกว่า รวมถึงยังมีการเปลี่ยนจุดหมายปลายทางจากกรุงเทพฯ ไปที่ภูเก็ต สมุย ด้วยสำหรับกลุ่มเลเชอร์
อย่างไรก็ดีหากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม สิงคโปร์ หรือฮ่องกง ไทยมีจำนวนโรงแรมมากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีนักท่องเที่ยวมากกว่าจำนวนโรงแรม ยกเว้นการท่องเที่ยวใน สมุย ภูเก็ต พัทยา ก็ยังคงมีราคาห้องพักเฉลี่ยที่สูง เพราะยังเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยว ซึ่งปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย จะเกิดเฉพาะโรงแรมระดับ 5 ดาวเท่านั้น แต่ไม่ได้เกิดปัญหากับโรงแรมระดับ 3-4 ดาว ดังนั้น โรงแรม 5 ดาวจึงดัมพ์ราคาลงมาขายในราคา 4 ดาว ไม่เช่นนั้นจะไม่มีลูกค้าเข้าพัก

ส่งผลให้โรงแรมระดับ 4 ดาว รวมถึงแอมบาสซาเดอร์ ต้องปรับราคาห้องพักลงมาต่ำกว่า 4 ดาว จึงทำให้ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบตรงนี้ โดยราคาห้องพักเฉลี่ยของแอมบาสซาเดอร์ควรอยู่ที่ราว 1,600 บาท แต่ราคาห้องพักเฉลี่ยขณะนี้อยู่ที่ราว 1,300 บาท ถือว่าต่ำมาก โรงแรมก็ไม่มีทางเลือก แต่ก็ยังหวังว่าราคาจะปรับตัวขึ้นมาเท่าเดิมได้หากการท่องเที่ยวดีขึ้น และโรงแรมตั้งเป้าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในปีนี้ราว 70-85% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 20-35% และมีรายได้ราว 460 ล้านบาท ขณะที่ปีหน้าตั้งเป้าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยราว 80% มีราคาห้องพักเฉลี่ยราว 1,500 บาท และมีรายได้ราว 500 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,666 1- 3 กันยายน พ.ศ. 2554