ปาร์ตี้ปีแสง 2010

ททท. ภาคอีสาน ไฮไลต์จะอยู่ที่การจัดงานเคาต์ดาวน์ ปาร์ตี้ปีแสง 2010 ของจ.ขอนแก่น ที่จะเป็นงานเคาต์ดาวน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอีสาน ซึ่งจะมีการเนรมิตสวนสาธารณะประตูเมืองของจังหวัดให้เป็นโลกใต้น้ำมหัศจรรย์สุดแฟนตาซี เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกว่า 3 แสนคนที่จะเข้ามาร่วมงาน ซึ่งงานนี้ได้รับการสนับสนุนจากททท. และบริษัทเอกชน อาทิ ไทยเบจเวอเรท โตโยต้าแก่นนคร ที่จะผลักดันการจัดงานนี้เป็นงานต้อนรับปีใหม่ระดับชาติ ที่คาดว่าจะมีเงินหมุนเวียนจากการจัดงานกว่า 80 ล้านบาท

Night Paradise Hatyai Countdown 2012

ททท. จังหวัดภูเก็ต จัดกิจกรรมคัลเลอร์ ภูเก็ต เคาต์ดาวน์ ที่ในปีนี้จะจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ อาทิ โคมไฟแห่งสยาม ที่จะมีซุ้มอุโมงค์แสดงโคมไฟ ตลอดยาว 15 เมตร พร้อมโคมไฟ 84 ดวง โคมไฟใต้ทะเลอันดามัน ที่ถือเป็น"ไฮไลต์การแสดงโคมไฟปะการัง และสัตว์น้ำทะเล ที่ตกแต่งตระการตาเสมือนเดินอยู่ใต้มหาสมุทรอันดามัน ความยาว 20 เมตร การจัดงาน"Night Paradise Hatyai Countdown 2012"ของหาดใหญ่ มีจุดเด่นปีนี้อยู่ที่การร่วมเฉลิมฉลองการนับถอยหลังสู่ปี 2012 สนุกสนานรื่นเริงรับปีใหม่ ด้วยพลุจำนวน 2012

ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 3 แผ่นดิน

ททท. จังหวัดเชียงรายจัดงาน ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 3 แผ่นดิน ที่ อ.เชียงแสน โดยจะมีการจำหน่ายสินค้าของกลุ่มวิสาหกิจชายแดน การแสดงศิลปวัฒนธรรมสามแผ่นดิน ศิลปะมวยไทย 7 คู่ การแสดงดนตรีและความบันเทิงต่างๆ ทั้งยังมีงาน "ฉลองปีใหม่ชายไทยภูเขาเผ่าม้ง" ที่บ้านภูทับเบิก อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ จะเป็นการจัดงานเฉลิมฉลองวันปีใหม่ของขาวเขาเผ่าม้งที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย

ส่งตะวันแสงสุดท้ายที่ปลายเมย

ททท. สำนักงานตาก จัดงาน ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ปี 2555 ส่งตะวันแสงสุดท้ายที่ปลายเมย ที่อุทยานแห่งชาติแม่เมย จ.ตาก พบกับความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวเลียบชายแดนด้านตะวันตกสายใหม่ ในเส้นทางตาก-แม่สอด และท่าสองยาง ที่เน้นให้นักท่องเที่ยวมาค้นพบกับจุดท่องเที่ยว 12 แห่ง ในระยะทางเพียง 86 กม. เช่น น้ำตกลานสาง ต้นกระบากยักษ์ในอุทยานแห่งชาติตากสิน ตลาดชาวเขาดอยมูเซอ ล่องแก่งแม่ละเมา เนินพิศวง สถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่วัดโพธิคุณ และถ้ำแม่อุสุตื่นตากับ "โรงละครหินใต้พิภพ" นอกจากนั้น จะมีการร่วมส่งตะวันลับขอบฟ้าด้านตะวันสุดสยามที่ม่อนครูบาใส และตื่นรับตะวันแรกของปีใหม่ 2555 กลางทะเลหมอกที่ม่อนกิ่วลม

ส่งตะวันสุดท้ายปลายปี สังขละบุรี สุดแดนตะวันตก

ททท. สำนักงานกาญจนบุรีจะจัดงานใน 3 จุดได้แก่ งาน ส่งตะวันสุดท้ายปลายปี สังขละบุรี สุดแดนตะวันตก มีการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านของชาวมอญ และกะเหรี่ยง-พิธีสงฆ์สะเดาะเคราะห์สืบชะตา กิจกรรมเคาต์ดาวน์เข้าสู่ปีใหม่ การปล่อยโคมกะเหรี่ยง (โคมขนาดใหญ่ ขนาดเท่ารถบรรทุก) จำนวน 9 ดวง และโคมบริวารอีกนับพันดวง พลุเฉลิมฉลองวันปีใหม่ รวมถึงงาน "สัมผัสอากาศเย็น เด่นในตำนานเหมืองแร่ที่ปิล็อก" อ.ทองผาภูมิ ที่จะมีกิจกรรมเที่ยวชมธรรมชาติ ขุนเขา และสายหมอก ชมอุโมงค์การทำเหมืองขุดในอดีต การแสดงของชนพื้นเมืองกะเหรี่ยง, พม่า และมอญ การจำหน่ายอาหารพื้นเมือง และอาหารทะเลสด จากอันดามันฝั่งพม่า เคาต์ดาวน์บนยอดเขา และการจำหน่ายสินค้าดีมีคุณภาพจากโรงงานผู้ผลิต, สินค้าเกษตร และสินค้าโอท็อป และงาน "หอการค้า & สภาอุตสาหกรรมแฟร์ 2011" บริเวณสนามกลีบบัว ถ.แสงชูโต อ.เมือง ที่จะเป็นมหกรรมศิลปหัตถกรรมนักเรียนภาคกลางและภาคตะวันออก 26 จังหวัด

CICADA COUNTDOWN 2012 ณ ตลาดซิคาด้า

สำนักงานททท.ประจวบคีรีขันธ์ มีการจัดงาน ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ใน 3 จุด ไม่ว่าจะเป็นบริเวณสวนหลวงราชินี 19 ไร่ อ.หัวหิน งาน CICADA COUNTDOWN 2012 ณ ตลาดซิคาด้า (สวนศรี เขาตะเกียบ)ที่จะมีการตกแต่งโคมไฟจากงานแฮนด์เมด การแสดงดนตรีสุดชิล Street Performances และการช็อปสินค้าแฮนด์เมดที่สอดใส่ไอเดียสุดเก๋ ที่เป็นเอกลักษณ์ของตลาดแห่งนี้ และการจัดงาน Hua Hin Countdown 2012 หน้าศูนย์การค้าหัวหิน มาร์เก็ตวิลเลจ มีการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินอินดี้ชั้นนำของไทย

อัมพวารื่นเริงเถลิงศกใหม่ 2555

ด้านสำนักงานททท.สมุทรสงคราม จัดงาน อัมพวารื่นเริงเถลิงศกใหม่ 2555 ตั้งแต่เวลา 20.30 น. เป็นต้นไป ณ บริเวณริมเขื่อนหน้าที่ว่าการอำเภออัมพวา (ตลาดน้ำยามเย็นอัมพวา) มีการร่วมฟังเพลง ร่วมรำวงและลีลาศ กับการแสดงดนตรีจากวงสุนทราภรณ์วงใหญ่ และร่วมเคาต์ดาวน์หลังร้องเพลง "สวัสดีปีใหม่" แบบต้นฉบับกับวงสุนทราภรณ์ ชมการแสดงพลุและดอกไม้ไฟฉลองวันขึ้นปีใหม่ นอกจากนี้ ในวันที่ 30 ธันวาคม 2554 ถึง 1 มกราคม 2555 ณ บริเวณโครงการอัมพวา ชัยพัฒนานุรักษ์ ยังจัดกิจกรรม เทศกาลของขวัญงานดนตรีรับขวัญวันปีใหม่ ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อชุดของขวัญจากผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและสินค้า OTOP เพื่อมอบเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลด้วย

เคาต์ดาวน์ 54 กรุงเทพ Bangkok Count Down Ha Ha Ha 2012

เคาต์ดาวน์ส่งท้ายปีกระตุ้นท่องเที่ยวปีใหม่ 18 พื้นที่ท่องเที่ยวพาเหรดชวนคนไทยเที่ยวคลายเครียดหลังน้ำลด ททท.เร่งโปรโมตผ่าน www.amazingcountdown.com ไล่ตั้งแต่การจัดงานใหญ่ใน 5 จุดของกรุงเทพฯ ขณะที่จ.ขอนแก่น จัดงานใหญ่สุดในอีสาน ด้านเชียงราย จัดงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 3 แผ่นดิน ทั้งเนรมิตซุ้มแห่งโคมไฟ สร้างสีสันให้ภูเก็ต

ททท. อยู่ระหว่างให้การสนับสนุนการจัดงานเคาต์ดาวน์ใน 18 พื้นที่ทั่วประเทศ โดยจะช่วยในเรื่องการทำโฆษณาและประชาสัมพันธ์การจัดงาน ผ่าน www.amazingcountdown.com และสนับสนุนงบราว 5 แสนบาท สำหรับการจัดงานเคาต์ดาวน์ของสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ โดยในปีนี้ ที่กรุงเทพฯ จัดที่ราชประสงค์จะเป็นไฮไลต์ เนื่องจากต้องการโปรโมตให้งานเคาต์ดาวน์ที่เซ็นทรัลเวิลด์ กลายเป็นแลนด์มาร์ก เหมือนเช่นงานเคาต์ดาวน์ที่ไทม์สแควร์ของนิวยอร์ก ส่วนต่างจังหวัดก็จะเป็นการจัดงานตามเมืองต่างๆ อย่างคึกคัก




15 สำนักงานของ ททท.ใน 18 พื้นที่ท่องเที่ยว ได้มีการจัดกิจกรรม ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ หรืองานเคาต์ดาวน์กันอย่างคึกคัก (ตารางประกอบ) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ หลังจากที่ภาวะวิกฤติน้ำท่วมได้คลี่คลายลง โดยในกรุงเทพฯ มีการจัดงานใหญ่กว่า 5 จุด เช่นงาน Bangkok Count Down 2012 ณ เซ็นทรัล เวิลด์ จะเป็นการเคาต์ดาวน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้ธีม Bangkok Count Down Ha Ha Ha 2012 จะมีการแสดงคอนเสิร์ตจากศิลปินนักร้องชื่อดัง ท่ามกลางแสงไฟ สี เสียง ตระการตา การจัดกิจกรรมหน้าสยามพารากอน

บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ ก็จะมีกิจกรรมไหว้พระเสริมสิริมงคล 9 พระอารามหลวง ไหว้พระประจำรัชกาล และไหว้พระ 9 วัดล่องแม่น้ำเจ้าพระยา

ถนนข้าวสารก็จะจัดงานมหัศจรรย์เมืองไทย...ยิ้มไปด้วยกัน (Miracle Smile@ Thailand) จะมีการแสดงหลากหลายรูปแบบ ทั้งการแสดงทางวัฒนธรรม วงดนตรีลูกทุ่งและสากล และการแสดงกิจกรรมบันเทิงอื่นๆ ที่ได้รับความนิยม การสาธิตและจำหน่ายอาหารพื้นบ้านหรืออาหารขึ้นชื่อของเขตต่างๆในกรุงเทพฯ การออกร้านจำหน่ายสินค้า อาหารและสินค้าบริการจากผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัย และกิจกรรมส่งเสริมและสนับสนุนความพร้อมและความช่วยเหลือแหล่งท่องเที่ยวผ่านกิจกรรมจิตอาสา และ CSR เพื่อระดมทุนสร้างความพร้อมให้แก่แหล่งท่องเที่ยว รวมถึงการตักบาตรประจำปี 2555 ในวันที่ 1 มกราคม 2555 ณ ลานคนเมืองกิจกรรมทำบุญ-ตักบาตร เพื่อความเป็นสิริมงคล ปี 2555

เปิดตัว สยามนิรมิต ภูเก็ต 22-25 ธันวาคม54 พิเศษบัตร399 บาท

สยามนิรมิต ภูเก็ต ดีเดย์เปิดบริการรับปีใหม่ หลังทุ่มงบ 2 พันล้านบนพื้นที่ 57 ไร่ ริมถนนบายพาส สร้างจุดขายใหม่ท่องเที่ยวภูเก็ต การันตีโชว์วัฒนธรรมไทยผสมผสานสเปเชียลเอฟเฟกต์ระดับโลก เวอร์ชันเดียวกับสยามนิรมิต กรุงเทพฯ เคาะบัตร1,300-2,500 บาท จัดโปรโมชันเปิดตัวให้คนภูเก็ตชมก่อนใครในวันที่ 22-25 ธันวาคมนี้ แค่ 399 บาท

บริษัทสยามนิรมิต (ภูเก็ต) จำกัด ได้ลงทุนกว่า 2 พันล้านบาทในการก่อสร้าง สยามนิรมิต ภูเก็ต บนพื้นที่กว่า 57 ไร่ บริเวณถนนบายพาส ใกล้สนามบินภูเก็ต ขณะนี้พร้อมจะเปิดให้บริการเพื่อรองรับการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่และไฮซีซันนี้ ซึ่งคอนเซ็ปต์ของการแสดงโชว์ จะเป็นรูปแบบเดียวกับสยามนิรมิต กรุงเทพฯ

สยามนิรมิต ภูเก็ต จะประกอบไปด้วย หมู่บ้านชนบทไทยทั้ง 4 ภาค
  • โรงละคร 
  • ห้องอาหาร
  • ทะเลสาบชมวิวทิวทัศน์
  • ตลาดน้ำโบราณ
ซึ่งโรงละครจุได้ 1,740 ที่นั่ง ขณะที่ลูกค้าหลักจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติจากทั่วโลก โดยการโชว์จะมีคำบรรยาย(Caption) 6 ภาษา ได้แก่ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น รัสเซีย ไทย และอังกฤษ ส่วนบัตรเข้าชมจะมีราคาอยู่ตั้งแต่ 1,300-2,500 บาท ซึ่งจะจัดแสดงโชว์วันละ 1 รอบ คือในเวลา 20.30 น.ทุกวัน ยกเว้นวันอังคาร


สำหรับจุดขายของสยามนิรมิต ภูเก็ต ประกอบด้วย 5 มิติหลัก ได้แก่
1.เป็นการโชว์ที่แตกต่างไม่มีในไทย โดยนำความเป็นไทยและวัฒนธรรมไทย โชว์ผ่านสเปเชียลเอฟเฟกต์ระดับโลกอย่างยิ่งใหญ่ตระการตา รวมถึงการแสดงแบบ 5 มิติเป็นตัวนำ บนมีเวทีที่ใหญ่ที่สุด

2.ความวิจิตรตระการตาและความยิ่งใหญ่ของฉาก ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่ในสถานที่จริงและมีส่วนร่วมกับการแสดงนั้นๆ

3.ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ด้วยดนตรี เสียงเพลง การแสดง

4.การใช้สเปเชียลเอฟเฟกต์ระดับโลก เช่น การเปลี่ยนฉากฉับพลัน และการแสดงของเทวดาที่เหาะเหินเดินอากาศอย่างน้อย 10 องค์ เป็นต้น

5.รวมถึงจุดเด่นที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรม โดยก่อนที่จะออกแบบแต่ละฉาก จะมีการศึกษาจากตำรา และได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ เนื่องจากต้องการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้มีความถูกต้องมากที่สุด

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้สยามนิรมิตแตกต่างจากโชว์อื่นๆ โดยเป็นโชว์ระดับโลกที่ใช้วัฒนธรรมไทยเป็นจุดขาย  ขณะที่ฉากที่ใช้ในการแสดงจะมีจำนวนมาก แต่จะมีโชว์ 3 องก์ใหญ่ๆ คือ
องก์ที่ 1 มี 4 ภาค ได้แก่ กลาง เหนือ ใต้ และอีสาน
องก์ที่ 2 นรก สวรรค์ เป็นเรื่องของความเชื่อ และป่าหิมพานต์
องก์ที่ 3 เป็นการแสดงประเพณีไทยในรอบ 1 ปีมีอะไรบ้าง

ในรูปแบบการแสดงคล้ายกับสยามนิรมิต กรุงเทพฯ เนื่องจากมีโปรดักต์ที่ดีอยู่แล้ว รวมถึงศักยภาพของนักท่องเที่ยว ที่เดินทางตรงเข้าภูเก็ตเลย โดยไม่ผ่านกรุงเทพฯ ประกอบกับการใช้ธีมเดียวกับสยามนิรมิต กรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับโลกแล้ว

ในส่วนของบ้านไทย จะแสดงวัฒนธรรมไทยให้นักท่องเที่ยวได้ศึกษา ทั้งได้เรียนรู้ชีวิตชาวบ้านและวัฒนธรรมไทยครบถ้วนทั้ง 4 ภาค ที่นำมารวมไว้ด้วยกันในธีมหมู่บ้านชนบทไทย โดยผู้เข้าชมจะรู้สึกเหมือนเดินไปตามบ้านของชาวบ้านในภาคต่างๆ เช่น ภาคอีสานจะมีการทอผ้า การเป่าแคน ผีตาโขน, ภาคกลาง ก็จะพบกับการสานปลาตะเพียน นั่งเรือพาย, ภาคเหนือจะพบกับการบายศรีสู่ขวัญ และภาคใต้ พบกับการเชิดหนังตะลุง การทำผ้าบาติก เป็นต้น

ภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก มีศักยภาพด้านการลงทุนค่อนข้างสูง สยามนิรมิตจึงได้ขยายการลงทุนมาเปิดให้บริการที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของการเป็นเมืองท่องเที่ยว อีกทั้งเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์มรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น โดยการแสดงของสยามนิรมิตภูเก็ต จะเป็นชุดเดียวกับที่กรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการยกย่องจากผู้ชมทุกชาติทุกภาษาว่า เป็นหนึ่งในการแสดงที่ดีที่สุดของโลก

สยามนิรมิต ภูเก็ต พร้อมจะเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการในวันที่ 22-25 ธันวาคมนี้ โดยจะเปิดให้ชาวจ.ภูเก็ต รวมถึงเอเยนต์ในภูเก็ต เข้ารับชมก่อนใคร จัดโปรโมชันเพื่อคนภูเก็ตในราคา 399 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก และตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคมนี้ จะเปิดอย่างเป็นทางการ โดยขายตั๋วให้แก่นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวภูเก็ตได้รับชมในราคาปกติ

กลยุทธ์ลุยปี 55 สยามพารากอน

สยามพารากอน มั่นใจกำลังซื้อปีหน้า ปรับกลยุทธ์หันทำกิจกรรมเข้าถึงผู้บริโภค ภายใต้คอนเซ็ปต์ แคร์ริ่ง แอนด์ แชร์ริ่ง พร้อมเทงบเพิ่ม 10% จาก 600 ล้านบาท ก่อนเข็นแบรนด์ดังเป็นแม็กเนตเสริมแกร่งร้านค้า หวังโกยยอดขายโต 10% นายเกรียงศักดิ์ ตันติภิภพ ผู้บริหารอาวุโสสายการตลาด บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหาร ศูนย์การค้าสยามพารากอน เปิดเผยว่า ทิศทางการทำตลาดในปีหน้าจะปรับรูปแบบใหม่ ที่มุ่งทำการตลาดแบบเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าไปทำกิจกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า หรือเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคให้ได้ หรือเรียกว่า  แคร์ริ่ง แอนด์ แชร์ริ่ง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจค้าปลีกแบบใหม่ จากเดิมที่ผ่านมาจะเน้นทำโปรโมชัน และทำกิจกรรมเพื่อสังคมหรือซีเอสอาร์เพื่อสร้างรายได้ โดยในปีหน้าบริษัทเตรียมเพิ่มงบการตลาดขึ้นอีก 10% จากเดิมที่ใช้งบการตลาดประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อมุ่งเน้นการทำกิจกรรมซีเอสอาร์มากขึ้น

ทั้งนี้เป้าหมายของสยามพารากอน คือการก้าวขึ้นเป็นศูนย์การค้าอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางที่โกลบัล ลักชัวรี แบรนด์ ระดับโลก จะต้องเข้ามาเปิดให้บริการ ดังนั้นในปีหน้าจะมีโกลบัลแบรนด์ เข้ามาเปิดให้บริการภายในศูนย์การค้า อาทิ ร้านหลุยส์ วิตตอง ,พราด้า , มิวมิว, เฟนดิ, คริสเตียน ดิออร์ และ คิดส์ซาเนีย ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาการสำหรับเด็กจากต่างประเทศ พื้นที่ 10,000 ตร.ม. รวมแล้ว มีทั้งร้านอาหาร และร้านแฟชั่นเข้ามาเปิดใหม่ประมาณ 30 ร้านค้า จากปัจจุบันมีพื้นที่ในศูนย์การค้ารวม 500,000 ตร.ม.

โดยศูนย์การค้าได้ จัดสรรพื้นที่แต่ละร้านค้าใหม่ ให้มีความเหมาะสม โดยบางร้านค้ามีขนาดพื้นที่เล็กลง เพื่อให้ร้านใหม่สามารถเข้ามาเปิดให้บริการได้ อย่างไรก็ดีมั่นใจว่าจากแผนงานที่วางไว้จะทำให้ปี 2555 มีผลประกอบการเติบโต 10-15% และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นในระดับ 10-15% เช่นเดียวกัน จากปัจจุบันวันธรรมดา มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่ 150,000 คน และวันหยุด 200,000 คน
ในเดือนพ.ย. ที่ผ่านมาศูนย์ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ส่งผลให้ยอดขายลดลง 10% ส่วนในเดือน ต.ค.ยอดขายลดลงเล็กน้อย โดยลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติลดลงเหลือเพียง 20% และเป็นลูกค้าคนไทย 80% จากเดิมที่เป็นลูกค้าต่างชาติ 30% และคนไทย 70% แต่คาดว่าธ.ค.นี้ ยอดขายจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวจนใกล้ถึงสถานการณ์ปกติ อีกทั้งลูกค้าต่างชาติก็กลับเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น จึงคาดว่า ในสิ้นปีนี้ ผลประกอบการของบริษัทจะเติบโต 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้ นายเกรียงศักดิ์ กล่าวและว่า
กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงนั้น คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในไตรมาสแรกของปี 2555 เนื่องจาก ภาครัฐเตรียมงบกระตุ้นเศรษฐกิจไว้เป็นตัวเลขค่อนข้างสูง และมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบป้องกันน้ำท่วม ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทาง รวมทั้ง ภาคธุรกิจประกัน ภาคการเงิน และเอกชนต่างอัดฉีดเงินเข้าไปสู่ระบบจำนวนมาก จึงเกิดแรงกระเพื่อมทาง ทำให้เงินสะพัดและหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจสูงราว 8-10 รอบ ทำให้เชื่อว่ากำลังซื้อจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,697 18-21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

งานประกวดพลุนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ไฮไลท์ 17ธ.ค.54 พลุสถิติโลก ขนาด24นิ้ว 7 นัด

งานประกวดพลุนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ เมื่อเวลา 20.00 น. วันที่ 16 ธ.ค. พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายอิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา และนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ร่วมกันเป็นประธานเปิดงาน”งานแสดงและประกวดพลุนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ดวงประทีปพราวนภา เทิดราชาราชินี บารมีศรีแผ่นดิน ครั้งที่ 5″ รอบชิงชนะเลิศ บริเวณชายหาดริมหาดพัทยากลาง จังหวัดชลบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมถวายความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทย ในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถซึ่งทางคณะผู้จัดงานได้จัดงานเฉลิมฉลองต่อเนื่องกันตั้งแต่ ปี 2552-2554โดยมีประเทศที่มีผลงานการแสดงพลุระดับโลกนำพลุเข้ามาแสดงถวายพระเกียรติ และประกวด จำนวน 11 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน เดนมาร์ก เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และ ไทย ทำให้การจัดงานงานแต่ละครั้งสร้างความประทับใจให้กับชาวไทยและนักท่องเที่ยว ชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก
สำหรับการแสดงและประกวดพลุนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ รอบชิงชนะเลิศ ครั้งที่ 5 นี้ เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมเฉลิมฉลองในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 โดยครั้งนี้มีประเทศที่เข้าร่วมแสดงถึง 9 ประเทศ ได้แก่ เดนมาร์ก เยอรมนี อิตาลี สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และไทย ส่วนประเทศคู่แข่งขันชิงชนะเลิศและได้คะแนนสูงสุดจากคณะกรรมการ และคะแนนจากผู้ที่เข้าชมงานในครั้งที่ผ่านมา คือ สหรัฐอเมริกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ)

สำหรับคืนวันที่ 17 ธ.ค. ไฮไลท์ที่ยิ่งใหญ่ของงานครั้งนี้ จะเป็นครั้งแรกของโลกที่ประเทศผู้แสดงพลุถึง 9 ประเทศ มาร่วมแสดงอยู่ในคืนเดียวกัน และจะยิงพลุสร้างสถิติโลกครั้งสำคัญ ด้วยพลุยักษ์ขนาด 24 นิ้วจำนวน 7 นัดพร้อมกัน หมายถึงพระชนมพรรษา 7 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะสุกสว่างตระการตา เต็มพื้นที่อ่าวพัทยา การแตกตัวของพลุครั้งนี้จะสร้างพลุที่กว้างที่สุดในโลก ซึ่งจะกว้างกว่า 3 กิโลเมตร
นอกจากนั้นประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมต่างนำพลุที่เป็นจุดเด่นของแต่ละประเทศมาร่วมแสดงนับหมื่นดวง ซึ่งทั้งหมดจะสร้างความโดดเด่นและน่าชมให้กับงานแสดงและประกวดพลุนานาชาติ เฉลิมพระเกียรติฯ ครั้งนี้

เที่ยว 5 ภู สัมผัสอากาศหนาว ภูสอยดาว ภูทับเบิก ภูกระดึง ภูเรือ ภูชี้ฟ้า

ภูสอยดาว ได้ชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งทิวสน สายหมอก และดอกไม้งาม อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งมีพรมเเดนติดประเทศลาว ในหน้าหนาวอย่างนี้ ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจเเละเป็นจุดหมายของใครหลายๆคน ที่แม้การเดินขึ้นไปพิชิตยอดภูจะได้ชื่อว่าโหดหินเอาเรื่อง แต่เมื่อขึ้นไปถึงบนยอดภูแล้วก็คุ้มแสนคุ้ม เพราะบนนั้นงดงามไปด้วยบรรยากาศของทุ่งหญ้าป่าสนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งมากไปด้วยจุดน่าสนใจหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมวลหมู่ดอกไม้ กล้วยไม้ต่างๆ หลักเขต 2 แผ่นดินไทยลาว จุดชมวิว จุดชมพระอาทิตย์อัสดง เส้นทางศึกษาธรรมชาติในดงสน
ป่าสนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทยบนยอดภูสอยดาว

ภูเขากะหล่ำ ภูทับเบิก
ภูทับเบิก เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของ จ.เพชรบูรณ์ มีลักษณะเตียนโล่งสามารถชมวิวได้หลากหลายมุม ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปกางเต็นท์นอนโต้ความหนาวกันเป็นจำนวนมาก

นอกจากวิวสายหมอกที่สวยงามแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นความประทับใจเคียงคู่สายหมอกนั้นก็คือ วิวไร่กะหล่ำกว้างใหญ่ ที่ปลูกอยู่บนยอดเขาหลายลูกในลักษณะขั้นบันได ดอกโตมากมายดูละลานตาดุงดังทะเลภูเขากะหล่ำ ในขณะที่เมื่อถึงยามเย็นที่นี่จะเห็นพระอาทิตย์ค่อยๆลับเหลี่ยมเขาซึ่งเป็นภาพความสวยงามไม่น้อยบนยอดภูแห่งนี้

ภูกระดึง ใครเล่าจะรู้ว่า ประเทศไทยก็มีใบเมเปิ้ลเเสนงามที่เปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเเดงในช่วงฤดูหนาวเหมือนอย่างในหนังเกาหลี ที่บนยอดภูกระดึง จ.เลย โดยช่วงเมเปิ้ลแดงนั้นจะอยู่ในราวเดือนธันวาคมไปจนถึงต้นๆเดือนมกราคม ซึ่งสามารถพบได้บริเวณน้ำตกถ้ำใหญ่ น้ำตกผาน้ำผ่า ส่วนที่น้ำตกขุนพองในป่าปิดที่ได้ชื่อว่าเป็นจุดเมเปิ้ลแดงสวยงามที่สุดนั้น ปัจจุบันไม่เปิดให้คนทั่วไปเข้าไปเที่ยวชม

นอกจากใบเมเปิ้ลแดงแล้ว บนยอดภูกระดึงยังมีสิ่งน่าสนใจที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวชั้นดี อย่าง ผาหล่มสัก จุดชมพระอาทิตย์ตกอันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ผานกแอ่นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นอันสวยงาม ทุ่งหญ้าป่าสน ดงดอกไม้ และเส้นทางสายน้ำตกที่มีน้ำตกน่าสนใจ อย่างน้ำตกโผนพบ เพ็ญพบ เป็นต้น
ผาหล่มสัก จุดท่องเที่ยวยอดฮิตบนภูกระดึง


ภูเรือ หน้าหนาวนี้ หากใครมีโอกาสได้มาเยือนที่ ภูเรือ จ.เลยคงไม่ผิดหวัง เพราะที่นี่ได้ชื่อว่าเคยเป็นดินแดนที่สุดหนาวในสยาม ซึ่งยามเช้าตรู่บนยอดภูเรือ(ในอุทยานแห่งชาติภูเรือ)นั้น คือจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นชั้นดี นอกจากนี้ในอุทยานฯภูเรือยังมี ดอกไม้สวยๆงามๆ กล้วยไม้ป่า และมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติลานหินพานขันหมาก ที่มีก้อนหินรูปร่างประหลาด เช่น หินพานขันหมาก หินศิวลึงค์ หินเต่า ให้ชมแล้วยังมีตำนานพื้นบ้านเกี่ยวพันกับบรรดาหินเหล่านี้ควบคู่กันไป เป็นดังการช่วยเพิ่มอรรถรสในการทองเที่ยวให้มากยิ่งขึ้น

ในขณะที่ตัวอำเภอภูเรือที่มากมายไปด้วยที่พักนั้นก็มีหลากหลายสถานที่ให้สัมผัสกันไม่ว่าจะเป็น สถานีทดลองเกษตรที่สูงภูเรือ สวนเห็ด สวนผลไม้ ไร่องุ่น เป็นต้น
แสงยามเย็นที่สถานีทดลองเกษตรที่สูง ภูเรือ

บนภูชี้ฟ้า ในวันที่ฟ้าเป็นใจ มองลงมาจะเห็นทะเลหมอกลอยล่อง
ภูชี้ฟ้า เป็นยอดเขาสูงสุดในเทือกเขาดอยผาหม่น จ.เชียงราย มีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ คือ หน้าผาปลายยอดแหลม เป็นแนวยาวที่ชี้ไปบนฟ้าสมดังชื่อภู ที่นี่นับเป็นจุดไฮไลท์สำคัญของนักท่องเที่ยวคือจุดชมวิวทะเลหมอกและชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าอันสวยงามน่าประทับใจและเด่นดัง ท่ามกลางทุ่งหญ้าโล่ง สายลม และ อากาศหนาวเหน็บ ซึ่งในวันที่ฟ้าเป็นใจจะได้เห็นทิวทัศน์ของท้องทะเลหมอกอันสวยงามกว้างไกล

สำหรับใครที่พลาดมาช้าในเวลาสายทะเลหมอกหายไป ก็ยังมีวิวทิวทัศสายน้ำโขงไหลคดเคี้ยว ท่ามกลางป่าไม้ของฝั่งลาวที่เขียวขจีอุดมสมบูรณ์ ให้ชื่นชม

5ดอยเที่ยวรับลมหนาว ดอยอ่างขาง ดอยวาวี ดอยอินทนนท์ ดอยตุง ดอยเสมอดาว

ขุนเขา สายหมอก เมื่อมองลงมาจากดอยเสมอดาว

ดอยเสมอดาว อุทยานแห่งชาติศรีน่าน จ.น่าน เป็นดอยที่กำลังมาแรงทางการท่องเที่ยว ซึ่งช่วงฤดูหนาวของทุกๆ ปีมีผู้คนมากมายขึ้นดอยมาเพื่อสัมผัสอากาศหนาวและชมทิวทัศน์อันงดงาม และนอกเหนือจากการสัมผัสหนาวเย็นสดชื่นแล้ว หลายคนยังอยากชมทะเลหมอกสีขาวดังปุยนุ่นที่เกาะรวมเป็นผืนเดียวกันดั่งทะเลบนยอดดอย

นอกจากนั้นบนดอยเสมอดาวยังเป็นจุดชมวิวแบบ 360 องศา ชมได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าและพระอาทิตย์ตกยามเย็น ในยามค่ำคืนที่ท้องฟ้าเปิดก็สามารถเห็นดวงดาวระยิบระยับ บนยอดดอยสามารถมองเห็นแม่น้ำน่านคดเคี้ยวเลี้ยวเลาะไปตามหุบเขา มองเห็นผาหัวสิงห์ ซึ่งเป็นหน้าผาหินรูปร่างคล้ายหัวสิงห์ และยอดผาชู้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกลนัก นักท่องเที่ยวสามารถมากางเต็นท์สัมผัสบรรยากาศที่นี่ได้อย่างสะดวกสบาย มีลานกางเต็นท์ ลานจอดรถและห้องน้ำให้บริการ


ดอยตุง จ.เชียงราย อดีตเขาหัวโล้นที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ สมเด็จย่า
ทรงพัฒนาด้วยแนวคิดปลูกป่า ปลูกคน จนขุนเขากลับมาเขียวขจี อุดมไปด้วยพืชพันธ์ไม้ กลายเป็นแห่งท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อ ซึ่งปัจจุบันพระตำหนักดอยตุงที่สมเด็จย่าเคยประทับได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมความงามของเรือนล้านนาผสมพื้นบ้านสวิสส์ที่เรียกว่า“ชาเล่ย์” ด้านหน้าโดดเด่นไปด้วยกาแลอันสวยงาม ส่วนภายในมีห้องจัดแสดงต่างๆพร้อมด้วยสิ่งชวนชมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นห้องท้องพระโรง เพดานดาว ระเบียงชมวิว ห้องประทับของสมเด็จย่าเป็นต้น

ใกล้ๆกับพระตำหนักดอยตุงยังมีไฮไลท์สำคัญบนดอยแห่งนี้อีกอย่างหนึ่งนั่นก็คือ “สวนแม่ฟ้าหลวง” ที่ได้ชื่อว่าเป็นสวนตกแต่งที่สวยที่สุดในเมืองไทย มีดอกไม้ผลิดอกออกใบสวยงามหมุนเวียนไม่ซ้ำกันทั้งสามฤดู กลางสวนมีประติมากรรม “ความต่อเนื่อง” ผลงานของมีเซียม ยิบอินซอย ศิลปินนามอุโฆษ เป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นของสวน นอกจากนี้บนดอยตุงยังมีพระธาตุดอยตุงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองให้ผู้ที่ผ่านไปมาได้แวะเวียนไปสักการะกัน
สวนดอกไม้สามฤดูที่สวนแม่ฟ้าหลวง ดอยตุง

ดอยวาวี อาณาจักรแห่งซากุระเมืองไทย
ดอยวาวี จ.เชียงราย ตั้งอยู่บนทิวเขาอันสลับซับซ้อนแห่งเทือกเขาผีปันน้ำตะวันตกเป็นอาณาจักรแห่งซากุระ(พญาเสือโคร่ง)ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย เพราะมีการปลูกซากุระมากถึง 400,000 ต้นเลยทีเดียว สำหรับจุดชมความงามของซากุระที่ดอยวาวีนั้นอยู่ทีศูนย์บริการวิชาการด้านพืชและปัจจัยการผลิตเชียงราย(สถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี) บน"ดอยช้าง"เขาลูกหนึ่งแห่งดอยวาวี ที่มีรูปร่างเหมือนช้างสองแม่ลูก

ความโดดเด่นของดอยวาวียังมีในเรื่องของกาแฟและชาอันขึ้นชื่อลือชา รวมถึงยังมีจุดชมวิวบนยอดดอยช้างให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมในทิวทัศน์อันกว้างไกล และวิถีชีวิตชนเผ่าอันหลากหลาย อาทิ อาข่า มูเซอ ลีซอ เย้า กะเหรี่ยง จีนฮ่อ ที่ต่างก็มีวิถีวัฒนธรรมของตัวเองแต่ว่าก็อยู่ร่วมกันอย่างปรองดองสมานฉันท์

ดอยอ่างขาง สถานที่ตั้งของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง โครงการหลวงแห่งแรกของเมืองไทยใต้พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภายในสถานีแห่งนี้ได้รับการพัฒนามาร่วม 40 ปี จนเกิดเป็นดินแดนอันสวยงามกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในช่วงหน้าหนาว ประกอบด้วยจุดท่องเที่ยวเด่นๆ อาทิ สวนแปดสิบ ชนิด สวนกุหลาบอังกฤษ สวนรับเสด็จ อาคารไม้ดอกเมืองหนาว สวนบอนไซ โรงเรือนแปลงกุหลาบ แปลงไม้ผลเมืองหนาว รวมถึงต้นซากุระเมืองไทย(พญาเสือโคร่ง)ที่จะออกดอกสีชมพูสดใสในช่วงปลาย ธ.ค.ไปจนถึงต้น ม.ค.

นอกจากในสถานีเกษตรหลวงแล้ว ในพื้นที่ใกล้เคียงก็น่าเที่ยวชมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ อาทิ หมู่บ้านขอบด้งของชนเผ่ามูเซอดำและมูเซอแดง ที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นเฝ้ารอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวของหมู่บ้านนี้กันเป็นจำนวนมาก ส่วนที่หมู่บ้านนอแลนั้นก็มีวิถีชีวิตของชาวปะหล่องให้สัมผัสที่นับว่าน่าสนใจยิ่ง
แสงแรกยามเช้าที่จุดชมวิวบ้านขอบด้ง ดอยอ่างขาง

พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ บนดอยอินทนนท์
ดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่ มียอดดอยเป็นจุดสูงสุดในสยาม บนระดับความสูง 2,565.3341 เมตร จากระดับน้ำทะเล ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูปคู่กับป้ายบอกจุดสูงสุดในสยามแห่งนี้เป็นจำนวนมาก ขณะที่จุดท่องเที่ยวเด่นๆบนยอดดอยแห่งนี้ก็มี จุดชมวิวบนยอดดอย พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกาในบรรยากาศป่าดึกดำบรรพ์ มากไปด้วยต้นไม้สวมเสื้อผ้า(มีมอสเฟินปกคุลม)

สำหรับในหน้าหนาวอย่างนี้ บนยอดดอยอินทนนท์บางวันที่หนาวจัดจะเกิดปรากฏการณ์น้ำค้างแข็งหรือ “แม่คะนิ้ง” ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสชื่นชมกัน ซึ่งล่าสุดในเช้าวันที่ 14 ธ.ค. 54 ดอยอินทนนท์มีอากาศหนาวยะเยือกจนอุณหภูมิติดลบวัดได้ 1.4 องศาเซลเซียส ณ ยอดหญ้าบริเวณสถานีเรดาร์ ส่งผลให้เกิดแม่คะนิ้งกินพื้นที่ยาวถึง 6 กม. ตั้งแต่กิ่วแม่ปานถึงสถานีเรดาร์ ทุบสถิติแม่คะนิ้งในรอบปี ส่วนใครที่ไม่กลัวหนาวที่นี่ยังมีน้ำตกใหญ่ๆให้ได้ชุ่มฉ่ำกันกับ น้ำตกวชิรธาร น้ำตกแม่กลาง และน้ำตกแม่ยะที่ยิ่งใหญ่และสวยงาม

โดย : ตะลอนเที่ยว ASTVผู้จัดการออนไลน์

บัวหลวงเอสเอ็มอี แฟร์ 2554

บัวหลวงเอสเอ็มอี แฟร์ 2554 กิจกรรมจำหน่ายสินค้าคุณภาพเยี่ยมมากกว่า 150 ชนิด ราคาพิเศษสุดจากโรงงานของผู้ประกอบการสมาชิกชมรมบัวหลวง SME ทั้งนี้ธนาคารกรุงเทพเล็งเห็นถึงความสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคธุรกิจ SME ด้วยการจัดกิจกรรมรูปแบบต่างๆ เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจ SME ในประเทศไทยสามารถพัฒนา และก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง ดังเช่นการก่อตั้งชมรมบัวหลวง SME ที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2546 เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความร่วมมือ และเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการด้วยกัน ด้วยแนวคิดที่ว่า “สัมพันธ์ดี มีเครือข่าย ได้ความรู้ อุ้มชูธุรกิจ”

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จัดงาน ‘บัวหลวง แฟร์ 2011: Bualuang Fair 2011’ กิจกรรมจำหน่ายสินค้า จากลูกค้าชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี และลูกค้าโครงการเกษตรก้าวหน้า ณ ลานด้านหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ถนนสีลม ตั้งแต่เวลา 7.00 – 18.30 น.โดยวันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2554 พบกับสินค้า จากโรงงานของผู้ประกอบการสมาชิกชมรมบัวหลวงเอสเอ็มอี และวันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม 2554 พบกับผลผลิตทางการเกษตรคุณภาพส่งออก จากลูกค้าโครงการเกษตรก้าวหน้าทั่วประเทศ

ออลซีซันส์ เปิดตัวที่เชียงใหม่

"พรีเมียม ฟู้ด เชียงใหม่" แตกไลน์สู่ธุรกิจโรงแรม ทุ่มกว่า 350 ล้านบาท เปิดตัวออลซีซันส์ เชียงใหม่ ดึงเชนแอคคอร์บริหาร ชูจุดขายความคุ้มค่าเงิน เปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการสำหรับการลงทุนในเฟสแรก เจาะกลุ่มเลเชอร์และลองสเตย์ พร้อมผุดอีก 2 เฟส คาดแล้วเสร็จสมบูรณ์ปี 56 รองรับไดเร็กต์ไฟลต์สู่เชียงใหม่ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นายสุรนาถ กิตติรัตนเดช กรรมการผู้จัดการ โรงแรมออลซีซันส์ เชียงใหม่ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในขณะนี้บริษัท พรีเมียม ฟู้ด จำกัด ที่เชียงใหม่ ซึ่งดำเนินธุรกิจอาหารส่งทั้งในและออกต่างประเทศ ได้หันมาขยายสู่ธุรกิจโรงแรม โดยใช้งบลงทุนราว 350 ล้านบาท (รวมที่ดิน) เปิดตัวโรงแรมออลซีซันส์ เชียงใหม่ และดึงเชนแอคคอร์มาช่วยบริหาร ซึ่งในขณะนี้ได้เปิดตัวไม่เป็นทางการหรือซอฟต์โอเพนนิ่งไปแล้ว ในส่วนของการลงทุนเฟสแรก ซึ่งมีห้องพักราว 70 ห้อง ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการขยายการลงทุนในเฟสที่ 2 และเฟสที่ 3 คาดว่าจะแล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในราวปี2556

ทั้งนี้โรงแรมออลซีซันส์ เชียงใหม่ จะแบ่งออกเป็น 3 ตึก ขณะนี้สร้างแล้วเสร็จ 1 อาคาร จำนวน 70 ห้อง(เฟส1) ขณะที่อีก 1 อาคารจะมีห้องพักราว 105 ห้อง ฟิตเนสเซ็นเตอร์ สระว่ายน้ำ ห้องประชุมจำนวน 2 ห้อง รองรับได้ราว 300 คน คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปีหน้า ส่วนอาคารที่ 3 จะเป็นส่วนที่เติมเต็มฟังก์ชันของโรงแรม ซึ่งขณะนี้ได้ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาช่วยจัดทำวิจัยการตลาดหรือมาร์เก็ตติ้งรีเสิร์ชว่ากลุ่มคนแบ่งเป็น 5-6 กลุ่ม เช่น กลุ่มนักศึกษา วัยทำงาน เป็นต้น มีความต้องการอย่างไร โดยข้อมูลจากการวิจัยจะช่วยเป็นข้อมูลในการพัฒนาฟังก์ชันต่างๆ เพื่อช่วยลดความเสี่ยง เช่น ร้านค้า ร้านอาหาร หรือคิดส์เซ็นเตอร์ เป็นต้น

สำหรับการเลือกใช้เชนแอคคอร์บริหาร เนื่องจากแอคคอร์มีความเป็นมาตรฐาน มีแบรนด์ ดีกว่าการเป็นแบรนด์โลคัล และแอคคอร์ก็เป็นโกลบัลเน็ตเวิร์กที่จะช่วยเจเนอเรตลูกค้าให้ได้ อย่างไรก็ดี โรงแรมไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องมีห้องประชุมที่มีสเกลใหญ่มาก เนื่องจากหากต้องการใช้สเกลใหญ่ก็ต้องไปใช้บริการที่หอประชุมนานาชาติเชียงใหม่ที่อยู่ใกล้กับโรงแรม

ส่วนจุดเด่นของโรงแรมยังอยู่ที่การเป็นโรงแรมที่บริหารโดยเชนต่างชาติ ซึ่งไม่มองว่าโรงแรมเป็นบัดเจ็ตโฮเต็ล เพราะเราไม่แข่งกับบัดเจ็ต แต่จะเป็นโรงแรมที่มีความคุ้มค่าและมีคอนเซ็ปต์คัลเลอร์ฟูล เนื่องจากในด้านจิตวิทยา เมื่อคนเห็นสีสันแล้วจะมีความสุข ประกอบกับการเป็นโรงแรมที่มีความคุ้มค่า สีสัน ความสนุกสนาน และการเดินทางที่สะดวกสบายใกล้กับถนนนิมมานเหมินทร์ที่เป็นแหล่งชื่นชอบของวัยรุ่นและคนกรุงเทพฯ ทั้งนี้การใช้ฟรีไว-ไฟก็จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจมาพักที่โรงแรมง่ายขึ้น เพราะเป็นไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นและคนรุ่นใหม่

ด้านนางสาวสุชาดา แสงอรุณ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมออลซีซันส์ เชียงใหม่ กล่าวว่า ในช่วงการเปิดตัวโรงแรมใหม่ มีราคาห้องพักเฉลี่ยเริ่มต้นที่ราว 1,185 บาท สำหรับห้องสแตนดาร์ด รวมอาหารเช้าและอินเตอร์เน็ต ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มีนาคม 2555 และจะมีการปรับราคาแบบ Dynamic Rate สำหรับลูกค้าของโรงแรมจะเป็นนักท่องเที่ยวพักผ่อนหรือเลเชอร์ และกลุ่มลองสเตย์ที่พักอาศัยเป็นเวลานานราว 1 สัปดาห์ หรือเป็นเดือน เนื่องจากเป็นราคาที่จ่ายแล้วมีความคุ้มค่า รวมถึงกลุ่มลูกค้าที่มาดูโรงงานอาหาร ซึ่งการทำธุรกิจเทรดดิ้งจำเป็นต้องมาตรวจโรงงานเพื่อทำโปรเจ็กต์ร่วมกัน ดังนั้น เมื่อลูกค้าในส่วนของพรีเมียม ฟูด มาตรวจโรงงาน จึงจะนำเสนอแพ็กเกจคู่ ซึ่งพ่วงโรงแรมเข้าไปด้วย ทั้งเมื่อโรงแรมเสร็จสมบูรณ์มีห้องประชุมรองรับได้แล้ว แผนการตลาดของโรงแรมก็จะบุกกลุ่มคอร์ปอเรตมากขึ้น

สุรนาถ กิตติรัตนเดช สำหรับแผนการตลาดในปีหน้า โรงแรมจะเจาะกลุ่มอาเซียนมากขึ้น เช่น กลุ่มออสเตรเลีย ในช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงโกลเด้นวีกของญี่ปุ่น และตลาดเกาหลี ทั้งนี้ เชียงใหม่เป็นฮับของภาคเหนือ มีสายการบินที่บินตรง เช่น ซิลค์แอร์ แอร์เอเชีย โคเรียนแอร์ ซึ่งจะเป็นตลาดเป้าหมายของโรงแรมต่อไปสำหรับเดสติเนชันที่บินตรงซึ่งไม่ต้องผ่านกรุงเทพฯ
ประกอบกับช่องทางการขายยังใช้แอคคอร์เป็นฐานที่ทำให้โรงแรมมีความได้เปรียบเพราะเป็นแบรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล โดยแอคคอร์มีเซลล์ฮับที่ฮ่องกง สิงคโปร์ ซึ่งเป็นฮับที่ดูแลลูกค้าเอเชีย ด้านเซ็กเมนต์การจองของโรงแรม แบ่งเป็น ทราเวลเอเยนต์ราว 30% ออนไลน์ 50% และลูกค้ากลุ่มรีเทิร์น วอล์กอิน และไดเร็กต์ราว 20% ทั้งโรงแรมยังจะมุ่งโดยการใช้โซเชียลมีเดียในการทำการตลาดด้วย
พร้อมกันนี้ เพื่อเป็นการโปรโมตการท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซัน โรงแรมได้ให้ความร่วมมือกับงานราชพฤกษ์ 2554 อย่างเป็นทางการ โดยทีมออร์แกไนเซอร์ของงานราชพฤกษ์ก็จะมาพักที่โรงแรมเป็นแขกประจำ รวมถึงโรงแรมก็จะมีการจำหน่ายตุ๊กตาที่เป็นสัญลักษณ์ของงานราชพฤกษ์ เช่น น้องคูณ ดินฉ่ำ น้ำใส ไออุ่น เป็นต้น ซึ่งนับเป็นหนึ่งในดีลเลอร์ที่ทำการโปรโมตงานราชพฤกษ์ด้วย

ทั้งนี้ สถิติในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โรงแรมมีลูกค้าวอล์กอินและรีเทิร์นนิ่งสูงมาก แสดงให้เห็นว่าสินค้าโดนใจผู้บริโภค ดังนั้น จึงจะมุ่งรักษาสินค้าให้มีคุณภาพ และต้องบริการให้เกินความคาดหวัง โดยในช่วงที่ผ่านมาก็มีผลตอบรับที่ดี ซึ่งในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โรงแรมมีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยราว 80% และในเดือนธันวาคมนี้คาดว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยก็จะทะลุ 80% เช่นกัน เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซันและมีวันหยุดยาว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,694 8-10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก

"ทีทีเอเอ" เล็งผุดงาน "เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก" ครั้งที่ 10 ปลายกุมภาพันธ์ปีหน้า ดึง 650 ธุรกิจท่องเที่ยวพาเหรดขายแพ็กเกจราคาพิเศษกว่า 900 บูธ  ชูไฮไลต์พาวิเลียนอลังการจากประเทศต่างๆ พร้อมแจกกระเป๋าเดินทางวันละ 100 ใบ สำหรับผู้ซื้อสินค้าสูงสุด 100 รายแรก ตั้งเป้ามีผู้เข้าชมงานกว่า 5 แสนคน คาดเงินสะพัดกว่า 500 ล้านบาท

 นายสุทธิพงศ์ เผื่อนพิภพ อุปนายกฝ่ายบริหารและกิจกรรม สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว หรือทีทีเอเอ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า สมาคมเตรียมจัดงาน "เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลก" ครั้งที่ 10 ในวันที่ 23-26 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อผลักดันตลาดคนไทยให้ไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นโดยในปีนี้ทีทีเอเอเป็น เจ้าภาพหลักผู้เดียว ซึ่งขณะนี้สามารถขายบูธไปแล้วร่วม 900 ราย  หรือมีผู้ประกอบการในธุรกิจท่องเที่ยวเข้าร่วมงานกว่า 650 ราย ขณะที่พื้นที่บูธมีเกือบ 1,200 บูธ ซึ่งคาดว่าใกล้ๆ วันงานผู้ประกอบการจะทยอยจองพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ และปลายเดือนธันวาคมนี้จึงจะเห็นได้ชัดเจนว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาหรือไม่

 ทั้งนี้ไฮไลต์ภายในงานจะเป็นการแสดงพาวิเลียนของต่างประเทศ ที่จะนำจุดขายด้านการท่องเที่ยวของประเทศต่างๆมาโปรโมตอย่างอลังการ เช่น การท่องเที่ยวของญี่ปุ่น ไต้หวัน อินเดีย และบาหลี เป็นต้น ที่จะมาร่วมออกบูธด้วย เพื่อโปรโมตให้คนไทยไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงในการจัดงานครั้งนี้ยังมีรางวัลโรงแรมและตั๋วเครื่องบิน มอบให้ผู้ที่ซื้อสินค้าจากการจับสลากร่วมสนุก ส่วนแพ็กเกจในงาน คาดว่าบางรายอาจจะออกแคมเปญลดราคาลงถึง 50% และเร็วๆ นี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ก็จะร่วมกับทีทีเอเอ ในการเขย่าตลาดทำโปรโมชันซื้อที่พัก 1 คืน แถม 1 คืน ด้วย

 พร้อมกันนี้ ทางทีทีเอเอก็ได้เตรียมกระเป๋าเดินทางจำนวน 400 ใบ สำหรับแจกให้ผู้ที่ซื้อสินค้าสูงสุด 100 รายแรก หรือผู้ที่ซื้อสินค้าอยู่ในเกณฑ์ตามที่กำหนดวันละ 100 ใบ และจะนำมาจำหน่ายในงานในราคาใบละ 4,000 บาท โดย กลุ่มเป้าหมายในงานก็จะเป็นลูกค้าประจำซึ่งเป็นกลุ่มวัยทำงาน คาดว่าตลาดที่จะยังคงมาแรงก็คือญี่ปุ่น เกาหลี และจีน โดยตั้งเป้ามีผู้เข้าชมงานตลอดการจัดงาน 4 วันราว 5 แสนคน และมีเงินสะพัดราว 500 ล้านบาท เท่ากับการจัดงานครั้งที่ 9
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,694  8-10  ธันวาคม พ.ศ. 2554

ฟลอร่า พาร์ค 17ธ.ค.54 - 30พ.ค.55 วังน้ำเขียว

เชิญเที่ยวงานโครงการฟลอร่า พาร์ค ศูนย์เรียนรู้ฟลอร่า พาร์ค เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา สวยงามไม่แพ้งานพืชสวนโลก เปิดให้เข้าชมระหว่างวันที่ 17ธ.ค.54-30พ.ค.55เป็นการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ ดื่มด่ำบรรยากาศกลางขุนเขา สัมผัสลมหนาวไม่แพ้กันทางภาคเหนือ ซึ่งในปีนี้มีการปลูกไม้ดอกมากกว่า 20 สายพันธุ์มากกว่า 3 แสนต้นให้นักท่องเที่ยวได้ชมความสวยงามนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นพิทูเนีย ปิโกเนีย ฤษีผสม เทียนฝรั่ง ดาวเรือง แพงพวย กระหล่ำประดับ เวอร์บีน่า ซัลเวีย ดาวกระจายฝรั่งเศส เสี้ยนฝรั่ง ตะวันยอแสง และลาเวนเดอร์ด้วย บนพื้นที่กว่า 40 ไร่ เต็มไปด้วยสีรุ้งของดอกไม้ ทั้งม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง

นอกจากนี้จะมีดอกไม้แล้ว มีลานกิจกรรมจัดสวน มีรูปปั้นสัตว์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัวนั่ง นอน หมูยืนโชว์นม ยังมีการเพาะปลูกผัก เช่น บวบงู ฟักทองยักษ์ ฟัก น้ำเต้า รวมทั้งจะมีหอคอยชมวิวรอบ ๆ โครงการด้วย และมีกิจกรรมให้สนุกหลายอย่าง

โครงการฟลอร่า พาร์ค ศูนย์เรียนรู้ฟลอร่า พาร์ค เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา ยังเป็นศูนย์เรียนรู้ฟอร่า พาร์ค เพื่อพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนในการปลูกดอกไม้ได้ตลอดทั้งปี รวมทั้งการปลูกดอกไม้เมืองหนาวสีสันออกมาให้สวยงามไม่แพ้ดอกไม้ที่ปลูกที่อ.ภูเรือ จังเลย หรือที่จังหวัดเชียงใหม่ สำหรับวัตถุประสงค์ของการจัดการครั้งนี้เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้เกษตรกรและประชาชนวังน้ำเขียวมีโอกาสในการปลูกดอกไม้เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการประกอบอาชีพ นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งข้อมูล สถานที่ฝึกอบรมให้แก่เกษตรกร และผู้สนใจ สามารถนำไปประกอบอาชีพการปลูกดอกไม้ได้ รวมทั้งเป็นสถานที่จำหน่ายเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ กล้าดอกไม้ด้วย

ฟลอร่า พาร์ค ปีนี้ได้ฤกษ์เปิดงานตั้งแต่วันที่ 17 ธ.ค.54 -31 พ.ค. 55 ค่าเข้าชมงานผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 20 ถ้าไม่ถึงเกณฑ์ก็ฟรี รายได้ส่วนหนึ่งจะนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมด้วย สัญลักษณ์เด่นของโครงการมีกระทิงตัวใหญ่สีเขียวอยู่บริเวณด้านหน้า ไว้ต้อนรับรองนักท่องเที่ยวให้น่าหยิก ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด รับรองไม่ผิดหวัง ทั้งนี้ดอกไม้ที่ร่วงโรยก็จะมีการสลับสับเปลี่ยนกันไม้ดอกมาเสริมตามฤดูกาล รับรองว่าไปช่วงไหนก็จะมีดอกไม้สวย ๆงาม ๆรอนักท่องเที่ยวเต็มที่

แถมได้สัมผัสบรรยากาศเย็น ๆให้ชุ่มปอดแล้ว ยังได้ซื้อผักผลไม้สด ๆส่งตรงจากชาวเกษตรกรวังน้ำเขียวโดยตรง ไม่ว่าจะเป็นผักที่ทานกับสลัด พุทรานมสด หวาน กรอบ อร่อย องุ่น เห็ดหอม เห็ดออริจิ ราคาเป็นกันเอง ไร้สารพิษมาทำอาหารดีต่อสุขภาพอีกด้วย

ส่วนการเดินทางไปฟลอร่า พาร์คก็สะดวกสบาย ไปได้ 2 เส้นทาง เดินทางสายหลักถนนมิตรภาพ ถึงแยกปากช่องเลี้ยวขวาขึ้นเขาใหญ่ ก่อนขึ้นเขาใหญ่จะมีทางแยกเลี้ยวซ้ายไปเขาแผงม้าวิ่งไปเรื่อย หรืออีกเส้นทางหนึ่งเส้น 304 ผ่านจังหวัดฉะเชิงเทรา อ.กบินทร์บุรี ขึ้นเขาใหญ่ ไปเขาแผงม้าเหมือนกัน จะมีทางเลี้ยวซ้ายชุมชนหลวงราชพัฒนา ก็ได้เช่นกัน

รับลมหนาว เทศกาลคริสมาสต์ 2011 ลานกว้างหน้าห้างดังต่างๆ

ลมหนาวมาเยือนชาวกรุงเทพ อากาศเย็นสบายรับเดือนธันวาคมหลังจากวิกฤตน้ำท่วมคลีคลายไป  ก็ถึงช่วงเวลาดื่มด่ำความสุขในเทศกาลคริสมาสต์ 2011 ซึ่งตั้งแต่วันที่1ธันวาคม 2554 -15 มกราคม 2555 บริเวณหน้าห้าง Central World ได้ตกแต่งต้นคริสมาสต์ ขนาดยักษ์ ชื่องานเก๋ๆ “Light Up Christmas tree 2011 at Central World” ประดับไฟสวยงามได้ระยิบระยับ ซึ่งเข้าไปชมบรรยากาศไฟคริสมาสต์อันสวยงามได้ตั้งแต่วันนี้โดยจะเริ่มเปิดไฟประมาณ 5 โมงเย็นของทุกวัน

ตามสถานที่ต่างๆ ได้ตกแต่งลานกว้างให้รับกลับเทศกาลคริสมาสต์ ประดับต้นคริสมาสต์อย่างสวยงามสามารถเยี่ยมชมได้ต่างลานกว้างหน้าห้างดัง

พลุนานาชาติ 16 - 17 ธันวาคม 2554 พัทยา

เมืองพัทยาประชุมเตรียมความพร้อมจัดงานแสดงและประกวดพลุนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ครั้งที่ 5 ชิงถ้วยพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในวันที่ 16 - 17 ธันวาคม 2554 โดยมีพลตรี นุโรจน์ รอดโพธิ์ทอง ผบ.ศูนย์รักษาความปลอดภัย เป็นประธานในการประชุม พร้อมด้วยนายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา และผู้แทนจากหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องร่วมในการประชุมอย่างพร้อมเพรียงเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2554

กระทรวงกลาโหม ร่วมกับเมืองพัทยา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)สำนักงานพัทยา เตรียมจัดงานแสดงและประกวดพลุนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ดวงประทีปพราวนภา เทิดราชาราชินี บารมีศรีแผ่นดิน ครั้งที่ 5 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 16-17 ธันวาคม 2554 ที่บริเวณปากซอย 6 ถนนเลียบชายหาด เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี

เพื่อเฉลิมพระเกียรติในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา โดยการประชุมในครั้งนี้เป็นการประชุมคณะทำงานเพื่อแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบและมอบหมายการดำเนินงาน ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวมีตัวแทนนานาชาติตอบรับเข้าร่วมแสดง และประกวดพลุเฉลิมพระเกียรติฯ ทั้งสิ้น 9 ประเทศ ประกอบด้วย สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, เดนมาร์ก, เยอรมนี, สหรัฐอเมริกา, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ออสเตรเลีย, อิตาลี และประเทศไทย โดยจะเป็นการแสดงพลุประกอบเสียงดนตรี

จากกลางทะเลเหนือท้องฟ้าอ่าวพัทยารวมกว่า 1 แสนนัด ซึ่งประชาชนและนักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นได้ตลอดแนวชายหาดพัทยา ตั้งแต่พัทยาเหนือถึงพัทยาใต้ รวมระยะทางกว่า 3 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังมีการการแสดงจากศิลปินที่มีชื่อเสียง และการออกร้านขายสินค้าภายในงานอีกมากมาย


เมืองพัทยามีความจำเป็นต้องดำเนินการปิดการจราจรดังนี้
- วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2554 ในเวลา 10.00 - 01.00 น.ของวันถัดไป ตั้งแต่บริเวณ วงเวียนปลาโลมาไปจนถึงสามแยกพัทยากลางถนนสายชายหาดพัทยา

- วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2554 ในเวลา 10.00 - 01.00 น. ของวันถัดไป ตั้งแต่บริเวณวงเวียนปลาโลมาไปจนถึงปากทางถนนวอล์คกิ้งสตรีทและเมืองพัทยาต้องขออภัยในความไม่สะดวกสำหรับผู้ใช้รถใช้ถนนทุกท่าน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว หมายเลขโทรศัพท์ 0 3825 3127-9


กำหนดการงานแสดงและประกวดพลุนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ ดวงประทีปพราวนภา เทิดราชาราชินี บารมีศรีแผ่นดิน ครั้งที่ 5
วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2554
14.00 น. - เริ่มเปิดให้ผู้ชมทั่วไปเข้าบริเวณงาน เริ่มกิจกรรมจากผู้สนับสนุน และการออกร้านต่าง ๆ
17.00 น. - เริ่มเปิดให้แขกรับเชิญเข้าบริเวณพิธี
18.00 น. - พิธีกรกล่าวต้อนรับท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน และนำเข้าการแสดงดนตรี สุวรรณหงส์
19.00 น. - เริ่มพิธีการ (เมืองพัทยาดำเนินการ)
- ประธานร่วมในพิธีเดินทางถึงบริเวณเปิดงาน
- ประธานทำพิธีเปิดกรวยถวายความเคารพ
- พิธีกรเรียนเชิญ ประธานกล่าววัตถุประสงค์การจัดงาน
- ผู้แทนจากกลาโหมฯกล่าวฯ
- เชิญถ่ายภาพร่วมกัน
- พิธีกรกล่าวขอบคุณประธานและนำเข้ากิจกรรมต่างๆ
19.30 น. - การแสดงพลุเฉลิมพระเกียรติฯ จากทีมยุโรป โดย เยอรมนี , อิตาลี , เดนมาร์ก (เวลา 25 นาที)
20.00 น. - การแสดงจากศิลปิน สิงโต นำโชค (Feat. แป้งโกะ) จัดโดยเมืองพัทยา (เวลา 30 นาที)
20.30 น. - การแสดงพลุเฉลิมพระเกียรติฯ จากทีมเอเชีย / ออสเตรเลีย โดยประเทศไทย , สาธารณรัฐประชาชนจีน, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย (เวลา 25 นาที)
20.55 น. - การแสดงจากศิลปิน Musketeers / The Richman Toy (เวลา 120 นาที หรือตามความเหมาะสม)
22.55 น. - จบงานวันแรก

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม 2554
14.00 น. - เริ่มเปิดให้ผู้ชมทั่วไปเข้าบริเวณงาน เริ่มกิจกรรมจากผู้สนับสนุน และการออกร้านต่าง ๆ
17.00 น. - เริ่มเปิดให้แขกรับเชิญเข้าบริเวณพิธี
18.00 น. - พิธีกรกล่าวต้อนรับ และนำเข้าการแสดงดนตรีประกอบวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติฯ (เวลา 60 นาที)
19.00 น. - เริ่มพิธีการ
- ประธานร่วมในพิธีเดินทางถึงบริเวณงาน; พิธีกรแนะนำประธานร่วม
- พิธีกรเชิญประธาน เริ่มพิธีการต่างๆ
- พิธีถวายราชสักการะ, จุดเทียนชัยถวายพระพร และอ่านอาเศียรวาทสดุดี
- พิธีมอบโล่ที่ระลึกแก่ผู้สนับสนุน และผู้แทนประเทศที่เข้าร่วมการแสดงและประกวดพลุฯ
- นำร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี และเพลงสดุดีมหาราชา ประกอบวีดิทัศน์
19.30 น. - การแสดงพลุปฐมฤกษ์จาก 4 เหล่าทัพ (เวลา 15 นาที)
19.50 น. - การแสดงจากศิลปิน พิจิกา (เวลา 20 นาที)
20.20 น. - การประกวดพลุฯ จากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ดูไบ) (เวลา 20นาที)
20.40 น. - การแสดงจากศิลปิน พันช์ วรกาญจน์ (เวลา 20 นาที)
21.00 น. - การประกวดพลุฯ จากสหรัฐอเมริกา (เวลา 20 นาที)
21.20 น. - การแสดงจากศิลปิน นิว-จิ๋ว (เวลา 30 นาที)
21.50 น. - การประกาศผลการประกวดพลุนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ (20 นาที)
22.10 น. - การแสดงพลุชุดพิเศษจาก 9 ประเทศ (เวลา 20 นาที)
22.30 น. - การแสดงจากศิลปิน บี พีระพัฒน์(เวลา 30 นาที หรือตามความเหมาะสม)
23.00 น. - จบการแสดงและประกวดพลุนานาชาติเฉลิมพระเกียรติฯ

*** กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว หมายเลขโทรศัพท์ 0 3825 3127-9

หมายเหตุ : เมืองพัทยาขออภัยผู้ประกอบการ นักท่องเที่ยวทุกท่าน งานแสดงและประกวดพลุนานาชาติ ขอเปลี่ยนวันจัดงานจากวันที่ 25-26 พฤศจิกายน 2554 เป็นวันที่ 16-17 ธันวาคม 2554

พืชสวนโลก ราชพฤกษ์ โฉมใหม่ มีมากกว่า ต้นไม้ ดอกไม้

กลับมาประกาศความยิ่งใหญ่สู่สายตาชาวโลกอีกครั้ง สำหรับงาน "มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554" จะเปิดให้ชมอย่างเป็นทางการในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ จนถึง 14 มีนาคม 2555 ที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ จังหวัดเชียงใหม่

เมื่อ 5 ปีที่แล้วหลายคนคงได้สัมผัสบรรยากาศสวนนานาชาติที่เต็มไปด้วยพฤกษานานาพรรณจากนานาชาติ ที่ร่วมกันขนต้นไม้ทั้งจากเมืองร้อนเมืองหนาวมาประดับตกแต่งจนทำให้สวนราชพฤกษ์ สวยงามอลังการสมกับเป็นสวนของโลก

มาถึงปีนี้ความสวยงามของสวนไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด กลับยิ่งเพิ่มโดดเด่นมากกว่าเก่า เมื่อต้นไม้ที่ปลูกไว้ก่อนหน้าเริ่มเติบโตผลิดอกออกผล จนเกิดร่มเงาตามธรรมชาติ เสริมให้สวนดูชุ่มชื่นร่มรื่นมากยิ่งขึ้น พร้อมกับการปรับแต่งภูมิทัศน์ใหม่ภายในทั้งหมด และยังเพิ่มเติมสิ่งใหม่ ๆ อีกมากมาย แต่งเติมสีสันเปลี่ยนไปจากเดิมมากทีเดียว

แอบสืบมาได้ว่างานปีนี้ผู้จัดทุ่มงบฯกว่า 400 ล้านบาท เพื่อสรรค์สร้างความแปลกใหม่และสวยงามให้กับสวนสวรรค์ ต่อยอดจากเงินก้อนแรกที่ลงไปกว่า 1,500 ล้านบาท

มาไล่เรียงไฮไลต์ของแต่ละโซนทั้งเก่าทั้งใหม่ เริ่มจากเจ้าเครื่องจักรตัวใหญ่ที่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่กลางสวน "กระเช้าราชพฤกษ์ลอยฟ้า" (Giant Flora Wheel) กระเช้ายักษ์ตัวนี้จะช่วยให้ทุกคนได้ชมสวนราชพฤกษ์ในมุมสูงแบบ 360 องศา เบื้องล่างคือภาพที่พรมด้วยดอกไม้และต้นไม้นานาชนิดบนพื้นที่กว่า 470 ไร่

นอกจากจะได้ชมสวนในมุมสูง เท่ากับตึก 14 ชั้น ในหนึ่งกระเช้าสามารถรับน้ำหนักได้ 450 กิโลกรัม หรือประมาณ 4-6 คน โดยมีจานหมุนตรงแกนกลางกระเข้าจะหมุนเป็นวงกลม รับรองว่าถูกอกถูกใจทั้งเด็กและผู้ใหญ่

หากใครไม่กลัวความสูงก็ไปหาทางขึ้นได้ที่บริเวณ Green Tower หรือ ด้านหลังสวนนานาชาติประเทศเบลเยียม

ตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าถึง 3 ทุ่มทุกวัน สำหรับค่าตั๋วนาทีละ 20 บาท รอบละ 6 นาที หรือคนละ 120 บาทนั่นเอง

มาถึงไฮไลต์สร้างจินตนาการ กับ "สวนแสงแห่งจินตนาการ" (Imagintion Light Garden) ครั้งแรกกับการเนรมิตดวงไฟนับล้านดวงกับผีเสื้อเรืองแสง ที่ออกมาเต้นระบำพร้อมกับเสียงดนตรีบรรเลงได้อย่างสวยงาม เรียกว่าโชว์ครบ ทั้งแสง สี เสียง และยังมีใบไม้เรืองแสงที่พลิ้วไหวตอบสนองในแบบอินเตอร์ แอ็กทีฟ ประหนึ่งเหมือนเดินอยู่ใน

ดินแดนจิตนาการเหนือจริง ที่เปิดให้ชมจนถึง 3 ทุ่มเลยทีเดียว

เมื่อจิตนาการบรรเจิดแล้วก็อย่าลืมพาเด็ก ๆ ไปชม "สวนเยาวชนรักษ์โลก" (Kids" Eco Park) เพื่อจะได้สัมผัสกับพื้นที่สวนผ่านการเรียนรู้แนวใหม่ ด้วยสื่อผสมผสานอย่างอินเตอร์แอ็กทีฟและมัลติมีเดีย ที่เน้นการปลูกจิตสำนึกในการลดโลกร้อนและการอนุรักษ์ธรรมชาติให้กับเยาวชน โดยใช้การ์ตูนแอนิเมชั่นบอกเล่าเรื่องราวผ่านน้องคูณและผองเพื่อน ซึ่งเป็นแมสคอตสัญลักษณ์นำโชคของงาน ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และความสัมพันธ์ของธรรมชาติกับสิ่งแวดล้อมในรูปแบบที่สนุกสนานและเข้าใจง่าย

อลังการสวนนานาชาติ

ในครั้งนี้มีประเทศต่าง ๆ เข้ามาร่วมจัดสวนในงานถึง 27 สวน จาก 26 ประเทศ โดยมีญี่ปุ่นเข้ามาร่วมจัดแสดงถึง 2 สวนด้วยกัน

ไฮไลต์ที่โดดเด่นของสวนนานาชาติในครั้งนี้มีหลากหลาย แตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมของแต่ละประเทศ

เริ่มกันที่สวนภูฏาน นำเสนอกลิ่นอายเมืองบนเทือกเขาสูง โดยการนำดอก Blue Poppy ดอกไม้ประจำชาติของภูฏาน พร้อมสักการะพระศรีศากยมุนี ที่ผ่านพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งเป็นตัวแทนทางจิตวิญญาณและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวภูฏานให้ความเคารพ โดยประดิษฐานอยู่ภายใน Bhutanese Altar ให้ประชาชนชาวไทยได้สักกระเป็นครั้งแรก

ด้านสวนอินเดีย ก็เปิดให้สักการะพระพิฆเนศ พระอุมาเทวี สัมผัสความร่มเย็นใต้ต้นศรีมหาโพธิ์ ต้นสาละอินเดีย กุหลาบพันปี และอบอวลด้วยต้นหอมหมื่นลี้ รอทุกคนไปสัมผัส

สวนญี่ปุ่น มีการจำลองภูเขาไฟฟูจิ พร้อมกับดอกซากุระ และดอกเบญจมาศ สีเหลืองสด มาประดับสวน และอีก

สวนหนึ่งเป็นการรวมตัวกันของ 3 จังหวัด คือ เกียวโต โอซากา และเฮียวโกะ

กับการจัดสวนสไตล์ญี่ปุ่นในแบบ Karasansui ที่ประกอบด้วย รั้วไม้ไผ่ สวนหิน และทางเดินที่ปูด้วยหิน รอให้ทุกคนไปย่ำ

ตื่นตากับน้ำตกไนแองการ่าจำลองภายในสวนแคนาดา ประดับประดาด้วยพันธุ์ไม้เมืองหนาว

เมืองกังหันลมปีนี้ไม่ได้มาคู่กับทิวลิป มาในปีนี้เนเธอร์แลนด์นำดอกลิลลี่สีส้มสดมาเป็นไฮไลต์ดึงดูดผู้เข้าชมงานแทนทิวลิป

ทางด้านสวนขององค์กรต่าง ๆ ในประเทศไทยก็ไม่ด้อยกว่านานาชาติ

กรมทรัพยากรน้ำบาดาล พาไปสัมผัสโลกใต้ดิน "ตะลุยอุโมงค์น้ำบาดาล" ที่ขุดในพื้นที่จริง โดยใช้เวลากว่า 3 เดือนในการขุดและเตรียมงาน พร้อมกิจกรรม "น้ำบาดาลแรลลี่" ที่ให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสและเรียนรู้ด้วยตัวเอง

ส่วนจะตื่นเต้นและลงไปลึกขนาดไหนต้องพิสูจน์กันเอาเอง

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสนุก ๆ ให้ร่วมเล่น ช็อป ชิม รอให้ทุกคนไปสัมผัสความงามของสวนกลางสายลมหนาว นั่งพับเพียบถ่ายภาพที่หอคำหลวง ชมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

อีกหนึ่งแห่งที่ไม่ควรพลาด คือ อาคารโลกแมลง ที่มีทั้งส่วนแมลงมีชีวิตและแมลงไม่มีชีวิต เติมสีสันด้วยผีเสื้อนานาพรรณ

ถ้าโชคดีจะมีโอกาสได้พบกับผีเสื้อที่กำลังออกจากดักแด้ เช่น ผีเสื้อกระท้อนพันธุ์ใหญ่ที่สุด กำลังฝักตัวออกจากดักแด้

อย่าลืมไปจับผิดตั๊กแตนกิ่งไม้ เหมือนกับกิ่งไม้จริง ๆ จนแทบแยกไม่ออก

ก่อนจะกลับอย่าลืมแวะสักการะพระพุทธรูปที่หลอมจากใบโพธิ์ที่พสกนิกรถวายคำอวยพรต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังประดิษฐานอยู่ที่นั่นด้วย

นี่เป็นแค่ไฮไลต์สำคัญ ๆ ในงานครั้งนี้เท่านั้น ยังมีอีกหลายสิ่งที่น่าสนใจ..รอให้ทุกคนไปพิสูจน์ในงานพืชสวนโลกปีนี้

บทความ : ศิราณี วงษ์โซ

มิดไนต์เซล เซ็นทรัลครั้งพิเศษ 8-13 ธ.ค. ลดสูงสุดถึง 70%

เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ทางห้างเซ็นทรัลได้จัดรายการ Central Midnight Sale ครั้งพิเศษ ช้อปฯ ทุกใบเสร็จมีค่า 5 บาท หรือ ช้อปฯ ผ่านบัตรเครดิตชั้นนำ อาทิ บัตรเซ็นทรัล เครดิตคาร์ด, บัตรอเมริกัน เอ็กซ์เพรส, บัตรเครดิตไทยพาณิชย์, บัตรเครดิตกรุงศรี, บัตรเครดิตเคทีซี, บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ เป็นต้น จะได้รับสมทบเพิ่มอีก 10 บาท ให้คุณได้ร่วมสมทบทุนเพื่อนำไปช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัยต่อไป สุดคุ้มลดทั้งห้างฯสูงสุดถึง 70% ตั้งแต่วันที่ 8 ถึง 13 ธ.ค. 54 (7 ธ.ค. 54 เฉพาะเซ็นทรัลเครดิตคาร์ด) ณ ห้างเซ็นทรัลทุกสาขา (วันที่ 11 ธ.ค. 54 เปิดบริการถึง 23:00 น. ยกเว้น สาขาพระราม 3, รามอินทรา, หาดใหญ่, ภูเก็ต และสีลมคอมเพล็กซ์)

เทศกาลเที่ยวทะเลหาดบ้านเพ-เกาะเสม็ด 6 – 11 ธันวาคม 2554

เทศกาลเที่ยวทะเลหาดบ้านเพ-เกาะเสม็ด ครั้งที่11 ประจำปี 2554 ในระหว่างวันที่ 6 – 11 ธันวาคม 2554 ณ บริเวณท่าเทียบเรือและศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเทศบาลตำบลบ้านเพ จังหวัดระยองได้จัดกิจกรรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งทางบกและทางทะเล โดยกิจกรรมทั้งหมดจะจัดขึ้นในวันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2553 เวลา 8.00-12.00 น. ณ อาคารท่าเทียบเรือท่องเที่ยว ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเทศบาลตำบลบ้านเพ จังหวัดระยอง
กิจกรรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งหมดในปีนี้มี 7 กิจกรรม โดยจะเน้นการคืนชีวิตให้ทะเลและคืนชีวิตให้สิ่งแวดล้อม ไม่ได้มีเฉพาะกิจกรรมอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างเดียวนะค่ะ แต่ยังมีการแสดงมหกรรมดนตรีอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นละครพระอภัยมณี , ระบำชนไก่ , การแสดงควงกระบองไฟ แสง สี เสียง และอื่นๆ อีกมากมายให้เลือกชมกัน

เทศกาลเที่ยวทะเลหาดบ้านเพ-เกาะเสม็ด นอกจากจะมีมหกรรมดนตรีแล้วยังมีกิจกรรมให้เราได้ร่วมสนุกกันอีกก็คือ

1. การประกวด “พระอภัยมณี” การเปิดโอกาสให้เพศชาย อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป มีส่วนร่วมสนุกในกิจกรรม โดยผู้เข้าประกวดต้องเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี มีความสามารถพิเศษและกล้าแสดงออก

2.การประกวด “ธิดาชาวเล” เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้หญิง อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป และไม่เกิน 25 ปี มีส่วนร่วมสนุกกัน โดยผู้สนใจเข้าประกวดจะต้องเป็นหญิงที่ไม่เคยประผ่านการประกวดนางงามระดับประเทศมาก่อน ต้องเป็นผู้มีบุคลิกภาพดี มีความสามารถพิเศษและกล้าแสดงออก

3.การประกวด “I LOVE THE SEA” เพื่อสนับสนุนการประชาสัมพันธ์ในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมของงาน ผู้สมัครจะเป็นชายหรือหญิงก็ได้ไม่จำกัดเพศและอายุ กติกามีเพียงอย่างเดียวคือแต่ชุดชาวเล แสดงความสามารถพิเศษ และตอบนคำถามว่าทำไมถึงรักทะเล (I LOVE THE SEA)

4.การประกวดชุดแฟนตาซีลดภาวะโลกร้อน เพื่อสนับสนุนการอนุรักษ์ธรรมชาติ เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวทุกคนมีส่วนร่วมจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ไม่จำกัดเพศและอายุ กติกาแค่ผู้เข้าประกวดต้องใส่ชุดแฟนตาซีลดภาวะโลกร้อนมาจากวัสดุเหลือใช้ทุกประเภท

5.การแข่งกีฬา ว่ายน้ำข้ามเกาะ วิ่งปักธง ชิงเงินแสน

เห็นกิจกรรมมากมายอย่างนี้แล้ว ทางเว็บไซต์isn ขอเชิญประชาชนผู้สนใจร่วมกันคืนชีวิตให้ทะเลได้ในวันจันทร์ที่6 ธันวาคม 2554 เวลา 8.00-12.20 น. ท่านใดสนใจข้อมูลเพิ่มเติมดูรายละเอียดได้ที่เว็บhttp://www.banphesamedislandfestival.com/หรือโทรสอบถามได้ที่ เทศบาลตำบลบ้านเพ โทร.0-3865-3431 0-3865-3751 ต่อ 0 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จังหวัดระยอง – จันทบุรี โทร. 0-3865-5420-1 ประชาสัมพันธ์จังหวัดระยองโทร0-3869-4102-3

จับทิศท่องเที่ยวไทย 2 ล้านล้านบาท

เปิดมุมมองการสร้างโอกาสใหม่ขับเคลื่อนท่องเที่ยวไทยในเวทีสัมมนา "จับทิศท่องเที่ยวไทย 2 ล้านล้านบาท ฯ"จากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการท่องเที่ยวทั้งจากภาครัฐและเอกชน อาทิ นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานฝ่ายนโยบายสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางกมลวรรณ วิปุลากร กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทดิเอราวัณ จำกัด (มหาชน) นายชิดชัย สาครบดี อุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด และนายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)

++โจทย์ 2 ล้านล้านบาทเป็นไปได้หรือไม่

กมลวรรณ : จากโอกาสที่มีอยู่คาดว่าเป็นไปได้ โดยเฉพาะเอเชีย ที่ปัจจุบันมีจำนวนประชากรครึ่งหนึ่งของโลก มีการขยายตัวของการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้กว่า 400 ล้านคนและประเทศไทยก็มีพื้นฐานของความแข็งแกร่งด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีโอกาสสูงสำหรับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวจากจีน อินเดีย และรัสเซีย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 100 ล้านคน จำนวนการเดินทาง 2 พันล้านทริปในอีก 10 ปีข้างหน้านี้ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า จากปัจจุบันที่อยู่ราว 47ล้านคน ก็ถือว่าเป็นโอกาสของไทย และปัจจุบันทัวร์จีนก็ไม่ใช่ทัวร์ราคาถูกเหมือนในอดีตอีกต่อไป
"จากเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตสูงขึ้นมาก ทำให้เขามีกำลังซื้อมากขึ้น ต้องการเซอร์วิสที่ดี พักโรงแรม 4 ดาว ชอบสปาและช็อปปิ้ง และต้องการประสบการณ์ในการเดินทางท่องเที่ยว รวมถึงมีกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบเดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง(เอฟไอที)เที่ยวไทยเพิ่มขึ้น ธุรกิจจึงต้องทำความเข้าใจกับตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวในตลาดเหล่านี้ และต้องยอมรับว่าจีนและนักท่องเที่ยวจากเอเชียมีการใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวยุโรป"

นอกจากนี้เทคโนโลยีปัจจุบันยังทำให้โลกเล็กลงอย่างมาก การใช้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่อย่างอินเตอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อโปรโมตธุรกิจก็เป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องเข้าไปเจาะเพิ่มขึ้น และการขยายตัวของสายการบินต้นทุนต่ำก็ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างมาก โดยการเติบโตในเอเชียมีการขยายตัวของจำนวนที่นั่งกว่า 7% จากโอกาสเหล่านี้สรุปได้ว่าเป้าหมายนี้ของรัฐบาลก็มีโอกาสอยู่มาก แต่ขณะเดียวกันความท้าทายก็มีสูง เพราะเราต้องแข่งขันกับอีกหลายประเทศในภูมิภาคนี้

กงกฤช: เชื่อว่าเป็นไปได้ เพราะจากการคาดการณ์ฐานนักท่องเที่ยวในปี2554 ที่จะมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 19 ล้านคน อัตราการขยายตัวของนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 7% ดังนั้นในอีก 4 ปีข้างหน้าการขยายตัวของนักท่องเที่ยวก็น่าจะอยู่ที่ 25 ล้านคน สร้างรายได้ 1 ล้านล้านบาท แต่หากนำอัตราการขยายตัวของการท่องเที่ยวอาเซียนมาจับด้วย การท่องเที่ยวไทยก็น่าจะขยายตัวได้ 10% ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวไทยก็น่าจะขยับไปเป็น 28 ล้านคน สร้างรายได้ 1.2 ล้านล้านบาท

ขณะที่การเดินทางเที่ยวในประเทศของคนไทย ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่91 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้ราว 4 แสนล้านบาท อัตราการโต5-6% ต่อปี ทำให้ในอีก 4 ปีก็น่าจะขยับมาใกล้120 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้ 5.5 แสนล้านบาท ดังนั้นเมื่อรวมกันรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทยในอีก 4 ปีข้างหน้าก็จะอยู่ที่1.6 ล้านล้านบาทขาดอีกกว่า 4 แสนล้านบาทกว่าจะถึงเป้าหมาย ซึ่งหากกระตุ้นเต็มที่ก็น่าจะทำได้ แต่หากรวมมิติด้านรายได้จากการลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็เกินกว่า 2 ล้านล้านบาทไปแล้ว จึงอยากให้รัฐบาลขยายมิติมาดูแลการลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย

ชิดชัย : โจทย์นี้เป็นไปได้แต่ค่อนข้างยาก เพราะการท่องเที่ยวเราทำงานกันแบบไม่บูรณาการ เอกชนทำแต่ฝ่ายเดียวก็คงไม่ไหว และที่สำคัญเราไม่มีผู้นำทัพที่มีพาวเวอร์ในระดับประเทศมาผลักดันให้การท่องเที่ยวก้าวกระโดดได้ เพราะเจ้าภาพใหญ่ที่มานั่งต้องสามารถประสานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ เพราะทุกวันนี้การทำงานก็มีการขัดขากัน ตั้งแต่การตรวจคนเข้าเมือง(ต.ม.) คิดดูถ้านักท่องเที่ยวเข้ามา 30 ล้านคน ต.ม.จะปรับตัวให้บริการทันไหม สนามบินรองรับได้ไหม และการทำงานของกระทรวงการท่องเที่ยวฯก็ขาดศักยภาพ ทุกอย่างล้วนติดขัดกลไกการร่วมมือของภาครัฐ จากการไม่มีเจ้าภาพใหญ่ที่มีอำนาจในการบังคับหรือขอร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมทำงานในลักษณะบูรณาการได้

โชคชัย:หากพูดถึงดีมานด์ของนักท่องเที่ยวการบินไทยมั่นใจว่าตลาดมีแน่นอน แต่ถ้าทำเหมือนในอดีตที่ผ่านมาคงไม่ได้ ต้องทำใหม่ เพราะต้องยอมรับว่าการเติบโตของการท่องเที่ยวที่ผ่านมาเอกชนก็เป็นภาคส่วนสำคัญหลักในการขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวจนโตมาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ก้าวกระโดดตามเป้าหมายต้องมีเป้าหมายการบริหารจัดการที่ชัดเจน มีรูปธรรม แต่ที่ผ่านมาเอกชนก็ไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆจากรัฐ อย่างการลงทุนกว่า 4 แสนล้านบาทในการเปลี่ยนฝูงบิน 75 ลำของการบินไทยก็เป็นการวางแผนจากสิ่งที่เอกชนมีข้อมูลจากการดำเนินธุรกิจ

ดร.นิตินัย: คิดว่าความเป็นไปได้พอมี แต่ถ้าปล่อยให้การท่องเที่ยวเติบโตแบบนี้ตามยถากรรมไม่คิดใหม่ทำใหม่โจทย์นี้ก็คงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งการสร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท ต้องเพิ่มทั้งปริมาณของนักท่องเที่ยวและเพิ่มค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ซึ่งหลังเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของยุโรปและสหรัฐฯ จากที่เคยคิดเป็น 60%ของจีดีพีโลก แต่วันนี้ลดลงอย่างมาก และเกิดการเปลี่ยนขั้วเศรษฐกิจมาอยู่ที่เอเชีย และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป การจัดกิจกรรมและการนำเสนอจุดขายด้านการท่องเที่ยวจึงต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคจึงจะเพิ่มค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวได้

++การผลักดันไปสู่เป้าหมายต้องทำอย่างไร

กมลวรรณ: ต้องสร้างความชัดเจนให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางมาเที่ยวไทย ซึ่งภารกิจนี้คงไม่ใช่เรื่องแค่กระทรวงการท่องเที่ยวฯแต่ต้องรวมถึงกระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย ขณะที่จุดเด่นของแวลู ฟอร์มันนี่ ของการท่องเที่ยวไทย ก็ไม่ใช่ทุกอย่างต้องถูกเกินไป ธุรกิจควรสร้างความแข็งแกร่งเพื่อแข่งขันได้ ไม่ใช่แข่งกันตัดราคา ก็จะเป็นการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวได้ และอยากให้รัฐบาลสนับสนุนเอกชนเหมือนในต่างประเทศ ทั้งการลงทุน การทำโรดโชว์ เทรดโชว์ อย่าให้เราเดินคนเดียว ทุกคนทำกำไรจากธุรกิจได้ แต่จะให้เราไปสู้หรือแข่งขันกับผู้เล่นที่เป็นคู่แข่งของการท่องเที่ยวไทยได้ รัฐบาลต้องสนับสนุนและเป็นผู้นำ และเราพร้อมให้การสนับสนุนมากกว่า
กงกฤช:การเติบโตของการท่องเที่ยวไทยกว่า 50 ปีผมให้เครดิตทั้งททท.และการบินไทย ที่ผ่านมาแม้ไม่บูรณาการการท่องเที่ยวก็โตด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว และสิ่งสำคัญคือเราต้องจัดบ้านเราเอง มีพิมพ์เขียวหรือมีนโยบายที่ชัดเจนว่าการท่องเที่ยวจะเดินไปทางไหน ซึ่งที่ผ่านมาสภาก็เคยประมวลปัญหาที่ต้องการผลักดันให้มีความชัดเจนในนโยบายใน 4 เรื่องได้แก่

1.การพัฒนาการท่องเที่ยวใน 8 กลุ่มคลัสเตอร์ทั่วประเทศ+กรุงเทพฯ เพื่อกระจายการท่องเที่ยว เพราะจากการมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นแหล่งท่องเที่ยวเดิมก็มีปัญหาเรื่องความเสื่อมโทรม
2.การแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว ที่ต้องมีรถโดยสารที่มีมาตรฐานและปลอดภัย
3.การพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี และการแก้ปัญหาความไม่ก้าวหน้าในตำแหน่ง
4.ผลตอบแทนในการทำงานของบุคลากรในภาคการท่องเที่ยวหากเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างที่ต้องมีความชัดเจนในการแก้ปัญหา

ชิดชัย:นอกจากการบูรณาการด้านการท่องเที่ยวแล้ว จากแนวโน้มการตลาดที่เปลี่ยนไปจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจ ทำให้นักท่องเที่ยวยุโรปและสหรัฐอเมริกาชะลอตัว ฐานตลาดเปลี่ยนมาเป็นเอเชีย ธุรกิจต้องปรับการทำงานให้ทันกันตลาดที่เปลี่ยนไป การนำเสนอโปรดักต์ก็ต้องให้สอดคล้องกันด้วย เพื่อสร้างรายได้ให้เกิดขึ้น และจากจำนวนนักท่องเที่ยวตามเป้าหมาย 30 ล้านคน ทุกสนามบินในเมืองท่องเที่ยวหลักก็ต้องมีมาตรการสนับสนุนและรองรับ เช่น การดันเชียงใหม่เป็นฮับของภาคเหนือ การส่งเสริมชาร์เตอร์ไฟลต์ของสนามบินดอนเมือง เป็นต้น

ดร.นิตินัย: แนวทางรองรับการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว ทอท.ได้เตรียมแผนไว้แล้วสำหรับรองรับการขยายตัวของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มจาก 45 ล้านคน เป็น 65 ล้านคน ในปี 2559 แต่ยอมรับว่ากว่าสนามบินจะขยายแล้วเสร็จสิ่งที่ผู้โดยสารจะต้องเผชิญคือคุณภาพในการบริการที่ลดลง จากจำนวนผู้โดยสารในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 46 ล้านคน ซึ่งเกินขีดความสามารถในการรองรับของสนามบิน แต่ทอท.ก็จะปรับวิธีการบริหารจัดการเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด

โชคชัย : การขยายตัวของการท่องเที่ยวแบบก้าวกระโดดเป็น 2 เท่านั้น ปัญหาที่ต้องเจอคือปัญหาคอขวดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่เชื่อว่ากว่าขยายสนามบินเสร็จต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปี และภูเก็ต ก็จะโตเร็วมาก ปัญหาเหล่านี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพร้อมรับมือ ซึ่งภาคการขนส่งทางอากาศในขณะนี้ก็เริ่มมีข่าวดีถึงการตั้งคณะทำงานในการบูรณาการทำงานร่วมกันแล้วเพื่อนำแผนของแต่ละหน่วยงานมาดูกันว่าจะขยายกันอย่างไร การบินไทยมีแผนขยายธุรกิจอย่างไร หน่วยงานอื่นๆของกรมการขนส่งทางอากาศ บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทยฯ หรือทอท.มีแผนของแต่ละองค์กรอย่างไร เพื่อนำแผนมาทำให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งก็จะทำให้เกิดการทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ในภาพรวมเพิ่มขึ้น ทั้งหมดเป็นมุมมองจากเวทีสัมมนากับความท้าทายในการสร้างโอกาสใหม่ท่องเที่ยวไทย

ขอบคุณข้อมูลข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,673 วันที่ 25-28 กันยายน พ.ศ. 2554
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=85057:2011-09-23-09-02-22&catid=136:a-tourisn-&Itemid=448

My Slow Day เที่ยวเมืองเหนือทีละก้าว

ททท.จัดโครงการเที่ยวเมืองเหนือทีละก้าว…My Slow Dayปรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยว ชูจุดขายการท่องเที่ยวแนวใหม่สัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรมแบบเจาะลึก เผยคอนเซปลดจังหวะการเดินทางให้ช้าลง เพียงแค่มอบเวลา“1 วันหยุด” สู่แนวความคิด “MySlow Day” เผยเชิญนิ้วกลม นักเขียนชื่อดังร่วมถ่ายทอดในเว็บไซต์ www.slowtravelnorth.com แนะนำสถานที่ 10 เส้นทาง 10 เมือง

MySlowDayพร้อมเชิญแป้งภัทรีดาประสานทองนักวาดภาพประกอบชื่อดังทำMy Slow day map10 เส้นทางพร้อมทำหนังสือคู่มือรูปแบบ e-bookรุกนักท่องเที่ยวกลุ่มรุ่นใหม่ หวังสร้างกระแสผ่านโลกออนไลน์

นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ททท.ได้จัดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคเหนือ “เที่ยวเมืองเหนือทีละก้าว…My Slow Day” จัดขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภาคเหนือ ภายใต้แนวคิด “Slow Travel” ซึ่งถือเป็นโครงการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยในปีที่แล้วถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างเทรนด์ใหม่ในการท่องเที่ยว

ทั้งนี้รูปแบบเป็นการนำเสนอสินค้าแนวใหม่ที่ตอบสนองนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่จะทำให้เราได้มองเห็นความงามของสิ่งใกล้ตัวมากขึ้น ได้ความรู้ ได้ปัญญา ได้ความภูมิใจและได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ได้คิดอะไรมากขึ้น ได้เห็นอะไรที่ แปลกออกไป จากสิ่งที่เราเคยเห็นหรือเคยรู้มาก่อน ส่วนมากนักท่องเที่ยวที่ชอบการท่องเที่ยวแบบ Slow Travel นั้นมักจะเดินทางกันกลุ่มเล็กๆ

ด้วยเหตุนี้ Slow travel โดยต้องการปรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ให้มาท่องเที่ยวแบบใส่ใจรายละเอียดมากขึ้น ถือเป็นการเปิดโอกาสในการท่องเที่ยวในแบบหัวใจใหม่ท่องเที่ยวแบบใส่ใจสิ่งแวดล้อมนำไปสู่การท่องเที่ยวเมืองไทยที่มีความยั่งยืน

“การท่องเที่ยวแบบ slowถือเป็นการท่องเที่ยวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่จะทำให้เราได้มองเห็นความงามของสิ่งใกล้ตัวมากขึ้น ได้ความรู้ ได้ปัญญา ได้ความภูมิใจและได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ได้คิดอะไรมากขึ้น ได้เห็นอะไรที่ แปลกออกไป จากสิ่งที่เราเคยเห็นหรือเคยรู้มาก่อนส่วนมากนักท่องเที่ยวที่ชอบการท่องเที่ยวแบบ Slow Travel นั้นมักจะเดินทางกันกลุ่มเล็กๆ”

ทั้งนี้คอนเซปของโครงการนี้แตกต่างจากปีที่แล้วโดยได้ปรับให้การเดินทางแบบSlow Travel ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม เพียงแค่ลดจังหวะการเดินทางให้ช้าลง เพียงแค่มอบเวลา “1 วันหยุด” ให้เป็นวันที่ชีวิตได้ออกเดินทางช้าๆกับสิ่งที่สนใจ นำมาสู่แนวความคิด “My Slow Day เที่ยวเมืองเหนือทีละก้าว...วันละก้าว”

โดยกลุ่มเป้าหมายจะมุ่งเน้นที่กลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่วัยทำงานรักการท่องเที่ยวที่ใช้สื่ออินเตอร์เนทเป็นประจำกระตุ้นให้เกิดเป็น community ของคนที่ชอบหรือสนใจในการเที่ยวแบบ slow travel โดยคาดว่าจะได้รับจะมุ่งเน้นในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไปยังภาคเหนือในช่วง low season มากขึ้นทั้งเป็นการกระจายการท่องเที่ยวออกไปยังจังหวัดรองมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายตัวด้านการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี จากสถิติพบว่าจำนวนกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยพบว่ามีอัตราการเติบโตก้าวกระโดด ปี 2552: ตัวเลขของ NECTEC อยู่ที่ 18.3 ล้านคน และปี 2553 ตัวเลขผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 24 ล้านคน ขณะที่ปี 2554คาดว่ายอดผู้ใช้จะเพิ่มขึ้นอีกมาก จากปัจจัยราคาของบรอดแบนด์และสมาร์ทโฟนที่มีราคาถูกลง (ที่มา - ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ NECTEC)

ซึ่งในปีนี้กลยุทธ์ทางการสื่อสารจะมุ่งเน้นในการสร้างความเข้าใจในแนวความคิดการเที่ยว Slow Travel เที่ยวเมืองเหนือทีละก้าว... วันละก้าวผ่านสื่อ Website / Social Network &Online มีการสร้างเว็ปไซต์www.slowtravelnorth.com ให้เป็นแหล่งข้อมูล การให้ความรู้ ความเข้าใจทั้ง แนวคิด และ วิธีการ ในการท่องเที่ยวแบบ Slowโดยเชิญ คุณนิ้วกลม สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียนชื่อดังผู้ที่มี “หัวใจรัก” และ “เข้าใจ” ในการท่องเที่ยวแบบทีละก้าว เพื่อเป็น “เพื่อนเดินทาง” ในการให้ความรู้ ความเข้าใจ แนะวิธีการท่องเที่ยวแบบ My Slow day เที่ยวทีละก้าว…วันละก้าว ให้เป็นเรื่องง่าย และปฏิบัติตามได้ไม่ยาก ตั้งแต่เริ่มเตรียมตัวเดินทางแบบทีละก้าว, วิธีการท่องเที่ยวแบบทีละก้าวและแชร์ประสบการณ์ที่น่าสนใจ

พร้อมทั้งจะแนะนำสถานที่ 10 เส้นทาง10 เมืองMy Slow Day ใน สไตล์ นิ้วกลมอาทิ ช้าช้าดีกว่าโฉบเฉี่ยว, เห็นมากกว่าแค่มอง, ได้ดมดีกว่าแค่ได้ดู,ชิมช้าๆ ดีกว่าฟาสต์ฟู้ด, ลงมือมากกว่าแค่ลงจอด, คุยมากกว่าลุยเป็นต้น

ทั้งนี้สาเหตุที่เลือกนิ้วกลมนั้นเนื่องจากเป็นนักเขียนที่ชอบการท่องเที่ยวแบบ Slow ชอบเดินทางท่องเที่ยวลักษณะนี้ โดยงานเขียนของเขาจะเป็นการเก็บเกี่ยวมาจากการท่องเที่ยวแบบ Slow และอยากชวนนักท่องเที่ยวและมีกลุ่มแฟนคลับมาเป็นคนชอบเที่ยวมาทดลองเที่ยวลักษณะในรูปแบบเดียวกัน

นอกจากนี้ยังสร้างเครื่องมือที่เป็นตัวช่วยแนะแนวทางในการท่องเที่ยวแบบเนิบช้าเพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทาง ด้วย “My Slow day map” โดยคุณแป้ง ภัทรีดา ประสานทองนักวาดภาพประกอบชื่อดัง จัดทำ E-map 10 เส้นทาง โดยนำเสนอตาม “วิธีการท่องเที่ยวแบบSlow” โดยสามารถ Download ในเว็ปไซต์ได้ฟรี

พร้อมทั้งจัดทำคู่มือหนังสือในรูปแบบ e-book“เที่ยวทีละก้าว slow travel กับ 10 กูรู” นำเรื่องราวในการเดินทางต่างๆของ slow travel 1 มานำเสนอ พร้อมให้ download ได้ฟรีส่วนหน้า Page จะรวมเรื่องราวการเดินทางในแบบ slow โดย Blogger และผู้ที่มีใจรักการท่องเที่ยวแบบ Slow ได้มาถ่ายทอดเรื่องราว แบ่งปันประสบการณ์การเที่ยวทีละก้าว

รวมทั้งยังได้มีการวางแผนงานและดำเนินกิจกรรมออนไลน์ผ่าน Facebook อย่างน้อย 4 กิจกรรม โดยให้ Facebook เป็น Online Community ของคนที่ชอบหรือสนใจการท่องเที่ยวเป็น Slow Travel ในภาคเหนือรวมถึงการประสานจัดหาของที่ระลึก/ของรางวัล สำหรับการดำเนินกิจกรรมของโครงการ

นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำกิจกรรมทางการตลาดด้วยการจัดทำSales Promotion Campaign นำเสนอสิทธิพิเศษของที่พัก ร้านอาหาร หรือบริการทางการท่องเที่ยวในพื้นที่ อย่างน้อย 20 สิทธิพิเศษ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่การเดินทางในรูปแบบ Slow Travel เช่น สิทธิพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวที่พักนานขึ้น หรือแพ็คเกจ Workshop ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาได้นานขึ้นอีกด้วย

โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ เปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2554

กลุ่มโรงแรมอิสตินและอิสตินเรสซิเดนซ์ รุกหน้าเปิดโรงแรมใหม่ระดับพรีเมียม “โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ” โรงแรมแห่งใหม่ล่าสุดบนถนนสายเศรษฐกิจใจกลางเมือง บนถนนสาทร เป็นเจ้าของโดยบริษัท บีมีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และบริหารงานโดยบริษัท แอ๊บโซลูท โฮเต็ล เซอร์วิส จำกัด กำหนดการเปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2554 นี้

โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ จะพร้อมให้บริการด้วยห้องพักจำนวน 390 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และโดดเด่นด้วย ความสะดวกสบายในการเดินทางด้วยสะพานเชื่อมต่อโดยตรงจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสุรศักดิ์ เข้าสู่ตัวโรงแรม ทำให้โรงแรมฯเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางที่ต้องการหาที่พักใจกลางเมืองและเดินทางในเมืองหลวงได้อย่างสะดวก อีกทั้ง โรงแรมฯอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา จุดชมวิวและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงเทพฯ ด้วยการเดินทางเพียงไม่กี่นาทีอีกด้วย

“โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมใหม่ล่าสุดของกลุ่มโรงแรมอิสตินและอิสตินเรสซิเดนซ์ ซึ่งถือเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว เหนือระดับด้วยที่ตั้งที่ดีเยี่ยม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางทั้งกลุ่มที่เดินทางมาเพื่อพักผ่อนและกลุ่มนักธุรกิจ แต่อย่างไรก็ดี เรายังคงเน้นการนำเสนอห้องพักในราคาที่คุ้มค่าและคุณภาพการบริการที่เหนือความคาดหมาย ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของเราตลอดมา” มร.จอห์น เวสโทบี้ กรรมการผู้จัดการ ภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท แอ๊บโซลูท โฮเต็ล เซอร์วิส จำกัด และ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ กล่าว

“ด้วยความเพียบพร้อมทั้งด้านบริการและที่ตั้งทำให้เรามั่นใจอย่างมากว่า โรงแรมฯแห่งนี้จะยิ่งเสริมความแข็งแกร่งทางการตลาดของเราในกลุ่มงานประชุมและสัมมนา (MICE) ซึ่งเราประสบความสำเร็จอย่างมากกับโรงแรมอิสติน มักกะสัน กรุงเทพฯ ประกอบกับกรุงเทพฯมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก ด้วยปัจจัยดังกล่าว โรงแรมฯนี้จะเป็นความสำเร็จขั้นต่อไปของกลุ่มโรงแรมอิสตินและอิสตินเรสซิเดนซ์อย่างแน่นอน” จอห์นกล่าวสรุป

โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ ประกอบด้วยห้องพักจำนวนทั้งหมด 390 ห้อง แบ่งเป็น ห้องซูพีเรีย 322 ห้อง ห้องเอ็กเซ็กคูทีฟซูพีเรีย 35 ห้อง ห้องเอ็กเซ็กคูทีฟดีลักซ์ 30 ห้อง และห้องสวีท 3 ห้อง โดยมีขนาดตั้งแต่ 32 ถึง 78 ตารางเมตร จากห้องพักทุกห้องสามารถชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาหรือวิวเส้นขอบฟ้าของเมืองกรุงเทพ

ผู้เข้าพักห้องระดับเอ็กเซ็กคูทีฟจะได้รับบริการพิเศษ อาทิ เช็คอินและเช็คเอาท์อย่างเป็นส่วนตัว บริการอาหารเช้า ชายามบ่าย ค็อกเทลช่วงเย็น อาหารว่างคานาเป ชา กาแฟ และเครื่องดื่มตลอดวัน ณ เอ็กเซ็กคูทีฟเลาจน์ ชั้น 32 นอกจากนี้ โรงแรมมีบริการ “แฟมิลี่ฟลอร์” หรือชั้นสำหรับครอบครัว และ “ห้องเพลย์รูม” ซึ่งมีเครื่องเล่นและเกมส์มากมายสำหรับเด็ก ณ ชั้น 15 ไว้บริการสำหรับกลุ่มครอบครัวและคุณหนูโดยเฉพาะ

โรงแรมฯยังมีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ได้แก่ ห้องอาหารนานาชาติให้บริการตลอดวัน ห้องอาหารเมดิเตอเรเนียน ห้องอาหารจีน ล็อบบี้เลาจน์ สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ฟิตเนสเซ็นเตอร์ บิสสิเนสเซ็นเตอร์ และบริการรถรับ-ส่ง เป็นต้น นอกจากนี้ โรงแรมฯพร้อมรองรับงานจัดเลี้ยงและงานประชุมด้วยห้องสุรศักดิ์แกรนด์บอลรูมที่มีขนาดใหญ่กว้างขวางสามารถรองรับได้ถึง 600 ท่าน ห้องจัดเลี้ยง 3 ห้อง และห้องประชุม 2 ห้อง บนพื้นที่รวม 1,200 ตารางเมตร โดยทุกห้องได้รับการออกแบบให้ได้รับแสงธรรมชาติ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยครบครัน พร้อมรองรับทุกความต้องการด้วยหัวใจแห่งการบริการ
ข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองห้องพัก กรุณาติดต่อ 02 212 3738 หรือ
อีเมล์ rsvnm@eastingrandsathorn.com เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.eastingrandsathorn.com
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 212 3686 Eastin Grand Hotel Sathorn Bangkok

โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ เปิดตัวแคมเปญ Epicurean Experience ถึง 15 ธันวาคม 54

โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ เปิดตัวแคมเปญ "Epicurean Experience." มอบสิทธิประโยชน์แก่สมาชิกอัลทิมา ซิตี้แบงก์ซีเล็คท์ และซิตี้แบงก์แพลตตินั่มซีเล็คท์

พิเศษสุด...สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตอัลทิมา ซิตี้แบงก์ซีเล็คท์ และ ซิตี้แบงก์แพลตตินั่มซีเล็คท์ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ครบทุกๆ 2,000 บาทต่อเซลล์สลิป ณ ห้องอาหารที่ เดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพ รับบัตรกำนัลมูลค่า 500 บาท สำหรับการรับประทานอาหารครั้งต่อไป ที่ห้องอาหารวูว์, เดอะ เซนต์ รีจีส บาร์, เดอะ ดรอว์อิ้ง รูม และ ดิแคนเตอร์ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 15 ธันวาคม ศกนี้ สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ 02-207-7777

สดจากยอดดอย ผัก ผลไม้จากโครงการหลวงครั้งที่ 42 วันที่ 16 -21 กันยายน 54

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 3  ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง  ขอเชิญร่วมงาน เทศกาลผัก ผลไม้ จากโครงการหลวง ครั้งที่ 42  สุขภาพดีกับผักสด ผลไม้สดจากยอดดอย ที่มูลนิธิโครงการหลวงได้คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันก่อนถึงมือคุณ  เลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษ อาทิ ผลิตภัณฑ์แปรรูปทางการเกษตรกว่า 40 ชนิด  จาก 38 มูลนิธิโครงการหลวง  ดอกไม้สด ดอกไม้แห้ง ผลิตภัณฑ์จากร้านค้าในพระราชดำริ  ร้านดอยคำ ร้านภูฟ้า ร้านดอยตุง ร้านจิตรลดา และร้านจากมูลนิธิสายใจไทย  พร้อมลิ้มรสหลากหลายเมนูจากผลิตภัณฑ์โครงการหลวง โดยเชฟ จากโรงแรม และภัตตาคาร ชั้นนำ  ระหว่างวันที่ 16 – 21 กันยายน 2554  ณ ลานกิจกรรมหน้า VDO WALL ชั้น G  และริมระเบียงชั้น 1  ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 3

การจัดงานเป็น 3 โซนหลัก ๆ โซนไลฟ์สไตล์ ซูเปอร์มาร์เกต ออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการหลวง อาทิ ผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์แปรรูป และผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ประจำปี อาทิ น้ำเคปกูสเบอร์รี่, ซีเรียลบาร์ ที่เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปมาจากข้าวซ้อมมือ โฮลวีท เมล็ดฟักทอง ผสมคลุกเคล้าด้วยน้ำเสาวรสและผลไม้อบแห้ง เหมาะสำหรับรับประทานแทนอาหารมื้อเร่งด่วน, ถั่วแดงหลวง, ผักกวางตุ้ง, ต้นอินทรีย์  และ ข้าวดอย นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์โครงการหลวงตราดอยคำ ซึ่งความพิเศษในปีนี้ เน้นผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำมะเขือเทศ 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำผลไม้รวม 50 เปอร์เซ็นต์ น้ำพีช 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำพีชผสมน้ำผลไม้รวม เนื้อพีชทาขนมปัง น้ำข้าวกล้องงอก น้ำข้าวกล้องหอมนิลงอกผสมธัญพืช ผลิตภัณฑ์น้ำสมุนไพรผสมน้ำมะนาว อาทิ น้ำอัญชันผสมมะนาวและน้ำมะตูมผสมมะนาว รวมถึงผลิตภัณฑ์จากร้านโครงการส่วนพระองค์ที่ประกอบด้วย ร้านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร, ร้านจิตรลดา,โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา, มูลนิธิสายใจไทย, ร้านภูฟ้า, สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์, มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และร้านโครงการทูบีนัมเบอร์วัน ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
พบสินค้าคุณภาพ ราคาพิเศษ จากโครงการพระราชดำริ อาทิ ร้านดอยคำ ร้านภูฟ้า ร้านดอยตุง ร้านจิตรลดา และร้านจากมูลนิธิสายใจไทย
สัมผัสขบวนสินค้าจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ลองลิ้มชิมรสแมคคาเดเมียหลากหลายรสชาติ สัมผัสรสชาติ และกลิ่นที่หอมหวลจากกาแฟโครงการหลวง พร้อมรับโปรโมชั่น และของสมนาคุณสุดพิเศษจากร้านดอยตุง 
ดื่มด่ำบรรยากาศ ถนนคนเดิน ประตูท่าแพ เลือกชมและซื้อสินค้าที่ระลึกจากภาคเหนือ และสินค้า OTOP ที่ให้คุณได้เลือกสรรอย่างจุใจ

พิเศษ ! ซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้า ครบ 1,000 บาท รับฟรีบัตร Gift Voucher แลกรับเมนูอาหารจากโรงแรม และภัตตาคารชั้นนำ จำนวนจำกัด  (วันละ 10 รางวัล ต่อโรงแรม หรือภัตตาคาร)

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3 สถาน คู่บ้านคู่เมืองปราจีน รอยพระพุทธบาทคู่ วัดแก้วพิจิตร ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ

ปราจีนบุรี เป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายแห่ง ทั้งสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ต่างๆ แหล่งท่องเที่ยววิถีชีวิตชุมชน รวมถึงศาสนสถาน ที่พัฒนามาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่นอกจากจะได้ทั้งความเพลิดเพลินแล้ว ก็ยังได้รับความสบายใจในการเข้าไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย สำหรับในพื้นที่เมืองปราจีนบุรี ที่มีหลักฐานในการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ได้รับอิทธิพลจากหลากหลายวัฒนธรรมและความเชื่อ ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือก็มีอยู่หลากหลายแห่ง โดยสถานที่สำคัญๆ ได้แก่


วัดแก้วพิจิตร เป็นเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยเศรษฐีชาวปราจีนบุรี ต่อมาเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้สร้างบูรณะวัดแห่งนี้ และสร้างพระอุโบสถหลังใหม่เพื่อทดแทนหลังเดิมที่สร้างด้วยไม้แล้วผุพังไป พระอุโบสถหลังใหม่สร้างด้วยการก่ออิฐถือปูน ซึ่งถือเป็นหลังแรกของจังหวัดปราจีนบุรี

พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระปางอภัยทาน สร้างเมื่อปี พ.ศ.2462 โดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “หลวงพ่ออภัยวงศ์” หรือ “หลวงพ่ออภัย” เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สร้าง   พระอุโบสถหลังนี้มีความน่าสนใจคือ สถาปัตยกรรมและลวดลายประดับอาคารเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะไทย จีน ยุโรป และเขมร ฝาผนังด้านนอกพระอุโบสถมีภาพปูนปั้นเรื่องรามเกียรติ์ ส่วนฝาผนังภายในเป็นภาพวาดบนแผ่นผ้าเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนา เช่น ทศชาติชาดก มารผจญ ซึ่งวาดโดยช่างหลวงในสมัยรัชกาลที่ 6 และยังมีศิลปกรรมแบบไทยประดับอยู่ทั่ว ศิลปะแบบจีน เห็นได้จากปูนประดับลายมังกร อยู่ที่บริเวณเชิงบันไดขึ้นพระอุโบสถ ศิลปะยุโรป ดูได้จากเสาแบบโรมันที่มีอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกพระอุโบสถ ส่วนศิลปะแบบเขมร เห็นได้จากซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสถทั้งสี่ด้าน  ที่ด้านหน้าของพระอุโบสถ มีอาคารเรียนหนังสือไทยและนักธรรมบาลี สร้างเป็นอาคารคอนกรีตตามสถาปัตยกรรมยุโรป มีสถูปโดมอยู่ด้านบน ซึ่งปัจจุบันได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์สถานวัดแก้วพิจิตร พิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่รวบรวมเราสิ่งของต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งสิ่งของเก่า เครื่องใช้ไม้สอย รวมถึงมีการรวบรวมคำสุภาษิตไทยไว้ตามมุมต่างๆ ด้วย


ถ้าสังเกตดูสัญลักษณ์ของจังหวัดปราจีนบุรี ก็จะเห็นว่าเป็นต้นโพธิ์ ซึ่งก็คือ ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ อำเภอศรีมโหสถ และยังถือเป็นต้นไม้คู่บ้านคู่เมืองของปราจีนบุรีอีกด้วย

ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ถือว่าเป็นต้นโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เชื่อกันว่าเป็นต้นโพธิ์ที่เป็นหน่อจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้จากพุทธคยา ประเทศอินเดีย มีอายุกว่า 2,000 ปี ต้นโพธิ์ต้นนี้มีขนาดเส้นรอบวงของลำต้น 20 เมตร สูง 30 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 เมตร มีตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าทวานัมปะยะดิษฐ์ เจ้าครองเมืองศรีมโหสถในสมัยขอมเรืองอำนาจ ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนา จึงได้ส่งคณะทูตเดินทางไปขอกิ่งต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับเมื่อคราวตรัสรู้ จากเจ้าผู้ครองนครปาตลีบุตร ประเทศอินเดีย แล้วนำกิ่งโพธิ์นั้นมาปลูกที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิแห่งนี้

บริเวณใต้ต้นโพธิ์ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นพระประธาน มีบริเวณให้คนเข้ามาสักการะพระประธานและเข้าไปปิดทองที่ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิได้ ส่วนรอบบริเวณนั้นทำเป็นรั้งระเบียงคตล้อมรอบ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ รวมถึงรูปหล่อเหมือนของเจ้าอาวาสวัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิตั้งแต่สมัยก่อน  ภายในบริเวณวัด ฝั่งตรงข้ามกับต้นโพธิ์ ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญอยู่อีก คือ วิหารพระคันธารราช ซึ่งเป็นวิหารทรงตรีมุข ด้านในประดิษฐานรูปหล่อจำลอง หลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ พระพุทธจารย์โต พรหมรังสี และจำลองพระพุทธรูปสำคัญของเมืองไทย คือหลวงพ่อโสธร และหลวงพ่อโตวัดบ้านแหลม ส่วนพระประธานคือพระคันธารราช ซึ่งชาวเมืองศรีมโหสถให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมาก



เมื่อ พ.ศ.2529 ระหว่างการขุดแต่งโบราณสถานสระมรกต ซึ่งเป็นกลุ่มโบราณสถานทางพุทธศาสนา ที่เป็นการก่อสร้างซ้อนทับกันมาหลายสมัย เริ่มตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 11 ถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างศิลาแลงและอิฐ ที่คงเหลือรากฐานเฉพาะอาคาร มีการค้นพบ รอยพระพุทธบาทคู่ สลักอยู่บนพื้นศิลาแลง  ลักษณะของพระบาททั้งคู่ทำเป็นรอยเท้ามนุษย์ตามธรรมชาติ มีปลายนิ้วเท้าเรียงไม่เสมอกัน และที่ฝ่าพระบาททั้งสองข้างสลักรูปธรรมจักรนูน ระหว่างรอยพระบาทมีการกากบาทสลักเป็นร่องลึกและมีหลุมอยู่ตรงกลาง สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อปักฉัตรหรือร่ม รอยพระพุทธบาทคู่ที่ค้นพบนี้ คาดว่าจะสร้างขึ้นในสมัยทวารวดีถึงสมัยลพบุรี ราวพุทธศตวรรษที่ 11-16 ซึ่งนับเป็นรอยพระพุทธบาทที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

บริเวณใกล้กับรอยพระพุทธบาท มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่มีการค้นพบพระพุทธรูปและโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบัน ในบริเวณนี้มีการสร้างหลังคาคลุมรอยพระพุทธบาทไว้ และจัดพื้นที่ไว้ให้ประชาชนเข้าไปสักการะได้

ส่วนใกล้กับบริเวณโบราณสถานสระมรกต ก็เป็นพื้นที่ของ วัดสระมรกต ที่เปิดให้เข้าไปนมัสการพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์หลายองค์ อาทิ พระพุทธมหามงคลมรกต ประดิษฐานอยู่ภายในศาลา พระพุทธเมตตา ที่จำลองมาจากพุทธคยา ประดิษฐานอยู่ภายในวิหาร และต้นพระศรีมหาโพธิ์พุทธคยา จากประเทศอินเดีย

การเข้าไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ นอกจากจะได้เปิดหูเปิดตากับความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จะได้กลับมาอย่างแน่นอนก็คือความไม่รุ่มร้อน ความสงบ และสบายใจ

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครนายก (ดูแลพื้นที่ จ.นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว) โทร. 0-3731-2282, 0-3731-2284, 0-3731-5664

รอยพระบาทคู่

วัดแก้วพิจิตร โบสถ์งาม4แผ่นดิน

ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ


ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000115478

15-18 ก.ย. 54 Shopping Paradise 2011 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

Shopping Paradise 2011 งานแสดงสินค้าจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย ที่รวบรวมสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ แว่นตา นาฬิกา ทั้งชาย และหญิง สินค้าและบริการความงาม สุขภาพ เครื่องสำอางค์แบรนด์ดัง เครื่องใช้และอุปกรณ์ตกแต่ง ของขวัญ และสินค้านำเข้า จากแบรนด์ชั้นนำ สำหรับครอบครัวทันสมัย พร้อมรวบรวมอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าชม ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โซน C (ground)

- แฟชั่นและเครื่องหนัง
- ความงามและสุขภาพ
- ของขวัญและของตกแต่ง
- เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า เบ็ดเตล็ด
- อาหารและเครื่องดื่ม

เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋า ครั้งที่ 3 เสน่ห์ที่แตกต่าง เพิ่มโอกาสใหม่ ขยายมิติเที่ยวไทย 15-18 กันยายน 2554

สทน. ชวนคนไทย เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋าครั้งที่ 3 รวมสุดยอดสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน ผ่านผู้ประกอบการกว่า 300 คูหา ชูไฮไลท์มหกรรมพืชสวนโลก โครงการในพระราชดำริ ร่วมเฉลิมฉลอง 3 วิโรกาสสำคัญของคนไทย จับมือกสิกรไทย-กบข.- กองทัพบก เพิ่มทางเลือใหม่ด้านการท่องเที่ยว คาดผู้เข้าชมกว่า 3 แสนราย เงืนสะพัดเบื้องต้นกว่า 10 ล้านบาท ฟื้นท่องที่ยวในประเทศคืนสู่ภาวะปกติ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) โดยความร่วมมือ ธนาคารสกิกรไทย สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (FETTA) สมาคมท่องเที่ยวส่วนกลางและสมาคมท่องเที่ยวส่วนภูมิภาค จัดงาน “เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋า ครั้งที่ 3” ระหว่างวันที่ 15-18 กันยายน 2554 โดยใช้งบประมาณในการจัดงานประมาณ 10 ล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 300 บูธ การจัดงานในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าด้านการท่องเที่ยวในประเทศในช่วงปลายปี 2554 ไปจนถึงต้นปีหน้า โดยมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั่วไทย ร่วมเสนอขายสินค้าท่องเที่ยวระดับคุณภาพ จำนวน 375 คูหา อาทิ
  • บริษัท นำเที่ยว 
  • สายการบินภายในประเทศ 
  • โรงแรม 
  • รีสอร์ท 
  • สนามกอล์ฟ 
  • เรือ 
  • ภัตตาคาร 
  • รถเช่า 
  • แหล่งท่องเที่ยว 
  • กิจกรรมท่องเที่ยว 
  • อุปกรณ์การท่องเที่ยว 
  • ร้านค้าของฝาก 
  • ของที่รถลึกต่างๆ
รายชื่อบูทต่างๆที่ร่วมงาน เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋า ครั้งที่3

รายชื่อบูทต่างๆที่ร่วมงาน เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋าครั้งที่ 3

เสน่ห์ที่แตกต่างผ่านท่องเที่ยว 5 ภูมิภาค

นางสาวมัยรัตน์ พีระญาณ์โกเศส นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นปัยจัยสำรัญในการสร้างการเจริญเติบโตให้กับผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระดับธุรกิจขนาดใหญ่ ไปจนถึงระดับรากหญ้า ขณะที่ประเทศไทย มีความพร้อมทางด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลาย และสามารถเดินทางท่องเที่ยวในทุกฤดูกาลอีกด้วย

สินค้าและบริการทางด้านการท่องเที่ยวของไทย มีความหลากหลายทั้งใน 5 ภูมิภาค ถือเป็น เสน่ห์ที่แตกต่าง ที่สามารถเลือกเดินทางไปเยี่ยมเยือนได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้มีการทำตลาดมากนัก มานำเสอในการจัดงานในครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ยังคงนำเสนอความคุ้มค่าให้กับผู้ที่เข้ามาร่วมงาน ด้วยส่วนลดและโปรโมชั่นต่างๆรวมทั้งสิทธิพิเศษผ่านสถาบันการเงินต่างๆ โดยมีกิจกรรมบนเวทีเพื่อสร้างความสนุกสนามและมีสาระตลอดทั้ง 4 วัน รวมทั้งกิจกรรมลุ้นของรางวัลภายในงานมูลค่านับแสนบาท

สำหรับไฮไลท์ที่สำคัญทางด้านการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ คือ มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯราชพฤกษ์ 2554 ซึ่งจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 ไปจนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 โดยวัตถุประสงค์หลักในการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง 3 วิโรกาสสำคัญของคนไทย นั่นคือ ในปี 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร จะทรงเจริญพระชนมายุก 60 พรรษา
ดังนั้นนอกจากการสนับสนุนการท่องเที่ยวทางภาคเหนือที่เชื่อมโยงกับงานดังกล่าวแล้ว ภายในงานยังนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวตามโครงการพระราชดำริ ซึ่งกระจายอยู่ทั้วประเทศอีกด้วย

ขยายโอกาสใหม่-เส้นทางใหม่
การจัดงาน เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋าครั้งที่ 3 นอกจากจะมีการจำหน่ายแพ็คเกจด้านการท่องเที่ยวในราคาพิเศษแล้ว ยังมุ่งขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ อาทิ กลุ่มเกษตรกรหรือชาวนาไทย ซึ่งมีธนาคารกสิกรไทยเข้มาร่วมสนับสนุน โดยมีการจัดทำแพ็จเกจเพื่อการท่องเที่ยวแบบผ่อนชำระ ดอกเบี้ย 0 % หรือการจัดแพ็จเกจราคาพิเศษที่เริ่มต้นเพียง 500 บาท นับเป็นการเพิ่มโอกาสในการท่องเที่ยว ไปยังกลุ่มคนไทยในวงกว้างมากขึ้น

ขณะที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข.ได้เข้าร่วมสนับสนุนการจัดงาน โดยการประชาสัมพันธ์งานผ่านสมาชิกของ กบข. กว่า 1 ล้านราย และปีนี้เริ่มมีการจัดแพ็กเกจที่เหมาะสมกับ
กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวมากขึ้นเช่นกัน

ส่วนกองทัพบกได้นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวในเขตทหาร เข้ามผนวกกับรายการท่องเที่ยวทั้ง 5 ภูมิภาค เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสมิตคิของการท่องเที่ยวที่หลากหลายขึ้น ฯลฯ
นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มตัวแทนจากบริษัท หรือหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามารเพื่อศึกษารายละเอียดของงานเพื่อติดต่อซื้อขายรูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลหรือการประชุมสัมมนา ซึ่งสามารถขยายเม็ดเงินไปได้อีกเป็นจำนวนมหาศาล

เที่ยวกับทัวร์ได้มากกว่าในราคาเบาๆ

นางสาวมัยรัตน์ กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายที่สำคัญของการจัดงาน “เที่ยวไทย สบายกระเป๋า”นอกเหนือจากากรต่อยอดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ในช่วงกลางปี ซึ่งมุ่งเน้นโชว์ศักยภาพของการท่องเที่ยว แต่งงานนี้จะเน้นการจำหน่ายสินค้าและบริการทางด้านการท่องเที่ยวในราคาคุ้มค่าเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ อีกทั้งสนับสนุนให้ใช้บริการของบริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสักกัดอยู่ในสมาคมต่างๆ โดยส่วนของ สทน.มีสมาชิกกว่า 430 ราย

เหตุผลสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านตัวแทนการท่องเที่ยวหรือบริษัท ทัวร์ เนื่องจากเล็งเห็นว่าสามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ถูกกว่าการเดินทางด้วยตัวเอง สามารถเลือกและออกแบบเส้นทางได้หลากหลาย มีการนำเสนอข้อมูลและรายละเอียดของแหล่งท่องเที่ยวที่มีประโยชน์ รวมทั้งยังเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับการท่องเที่ยว เนื่องจากตัวแทนการท่องเที่ยวจะมีมัคคุเทศก์ ซึ่งได้การอบรมและคอยดูแลสภาพแวดล้อมทางด้านการท่องเที่ยวให้คงอยู่ ลดปัญหาการบุกรุกหรือทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะเกิดจากนักท่องเที่ยวที่ไม่ทำตามข้อกำหนดหรือพลังเผลอโดยไม่ได้ตั้งใจ

นอกจากนั้งยังพบว่าการเดินทางท่องเที่ยว ผ่านตัวแทนบริษัทท่องเที่ยว มีการนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวตามรายทางซึ่งอาจถูกมองข้ามไป เนื่องจากการเดินทางด้วยตัวเองจะมุ่งตรงสู่เป้าหมายหลักเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยว มีการสรรหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อสร้างความคุ้มค่าในการเดินทาง สร้างมุมมองใหม่ในการท่องเที่ยว และกระจายรายได้สู่ภาคการท่องเที่ยวระดับท้องถิ่นอีกด้วย


หนุนภาพเที่ยวไทยสดใสในปี 2555

จากการจัดงานดังกล่าว สทน.คาดว่าจะส่งผลต่อภาพของการท่องเที่ยวในประเทศ ที่กลับลมาสู่ภาวะปกติ 100 % เนื่องจากที่ผ่านมา ภาวะทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการชะลอการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว โดยตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นมา ภาวะทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการชะลอดการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว โดยตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นมา ภาพของการท่องเที่ยวภายในปรเทศเริ่มสนใจ จากภาวการณ์เมืองที่เข้าที่เข้าทาง และคนไทยก็เริ่มมีภาวะแห่งความสุข อีกทั้งเหมาะกับช่วงเวลาที่เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว

งานดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทางด้านการตลาดของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งได้ประกาศแผนการตลาดการท่องเที่ยว ประจำปี 2555 มุ่งยอดแคมเปญ “เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน เจาะตลาดในประเทศ ส่วนตลาดต่างประเทศยังคงใช้แคมเปญ Amazing Thailand พร้อมมุ่งรักษาคุณภาพทางการท่องเที่ยว และความประทับใจเป็นจุดแข็งที่เหนือคู่แข่ง

ทั้งนี้ ททท.ได้ประมาณจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสิ้นปี 2554 ไว้ที่ประมาณ 18-18.3 ล้านคน คิดเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 7 แสนล้านบาท ส่วนเป้าหมายที่ 2555 ททท.กำหนดเป้าหมายจำนวนรายไของตลาดต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 7.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 9 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 19.5 ล้านคน ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศ ททท.มีเป้าหมายขยายตัวเลขนักท่องเที่ยวในประเทศอีก 10-15 % ในปี 2555 หรือ 91 ล้านคนครั้ง

คอนเสิร์ตแจ๊สเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสพระชนมพรรษา 84 พรรษา และฉลองครบรอบ 15 ปี โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส

คอนเสิร์ตแจ๊สเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส  เสาร์ที่ 17 กันยายน 2554 โดยนางสาวปริม ปัญญาเสรีพร ผู้อำนวยการ สายงานการตลาดเพื่อการท่องเที่ยวและสันทนาการ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ มร. คริสท็อฟ คนิเชล ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส มอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิกบัตรที่ซื้อบัตรชม “คอนเสิร์ตแจ๊สเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ในวโรกาสพระชนมพรรษา 84 พรรษา และฉลองครบรอบ 15 ปี โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กับครั้งแรกในเมืองไทยของศิลปินแจ๊สชื่อดังระดับโลก นันจัม โรเซ่ นักร้องสาวชาวเนเธอร์แลนด์ และ นาตาเลีย คาลเดรอน นักร้องเสียงเจ้าเสน่ห์จากสเปน ซึ่งจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2554 ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ณ ห้องจามจุรีบอลรูม ชั้นเอ็ม โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี 20 ท่านแรกที่ซื้อบัตรคอนเสิร์ตราคา 1,500 บาท (รวมอาหารและเครื่องดื่มตลอดงาน) จะได้อัพเกรดที่นั่ง

ผู้สนใจจองบัตรได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส โทรศัพท์ 0-2216-3700 ต่อ 20642-46 ตั้งแต่วันนี้ถึง 17 กันยายน 2554 รายได้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายจะนำไปมอบแก่มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์