กลยุทธ์ลุยปี 55 สยามพารากอน

สยามพารากอน มั่นใจกำลังซื้อปีหน้า ปรับกลยุทธ์หันทำกิจกรรมเข้าถึงผู้บริโภค ภายใต้คอนเซ็ปต์ แคร์ริ่ง แอนด์ แชร์ริ่ง พร้อมเทงบเพิ่ม 10% จาก 600 ล้านบาท ก่อนเข็นแบรนด์ดังเป็นแม็กเนตเสริมแกร่งร้านค้า หวังโกยยอดขายโต 10% นายเกรียงศักดิ์ ตันติภิภพ ผู้บริหารอาวุโสสายการตลาด บริษัท สยามพารากอน ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้บริหาร ศูนย์การค้าสยามพารากอน เปิดเผยว่า ทิศทางการทำตลาดในปีหน้าจะปรับรูปแบบใหม่ ที่มุ่งทำการตลาดแบบเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะการเข้าไปทำกิจกรรมให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า หรือเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคให้ได้ หรือเรียกว่า  แคร์ริ่ง แอนด์ แชร์ริ่ง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจค้าปลีกแบบใหม่ จากเดิมที่ผ่านมาจะเน้นทำโปรโมชัน และทำกิจกรรมเพื่อสังคมหรือซีเอสอาร์เพื่อสร้างรายได้ โดยในปีหน้าบริษัทเตรียมเพิ่มงบการตลาดขึ้นอีก 10% จากเดิมที่ใช้งบการตลาดประมาณ 600 ล้านบาท เพื่อมุ่งเน้นการทำกิจกรรมซีเอสอาร์มากขึ้น

ทั้งนี้เป้าหมายของสยามพารากอน คือการก้าวขึ้นเป็นศูนย์การค้าอันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคคนไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งเป็นศูนย์กลางที่โกลบัล ลักชัวรี แบรนด์ ระดับโลก จะต้องเข้ามาเปิดให้บริการ ดังนั้นในปีหน้าจะมีโกลบัลแบรนด์ เข้ามาเปิดให้บริการภายในศูนย์การค้า อาทิ ร้านหลุยส์ วิตตอง ,พราด้า , มิวมิว, เฟนดิ, คริสเตียน ดิออร์ และ คิดส์ซาเนีย ศูนย์เรียนรู้และพัฒนาการสำหรับเด็กจากต่างประเทศ พื้นที่ 10,000 ตร.ม. รวมแล้ว มีทั้งร้านอาหาร และร้านแฟชั่นเข้ามาเปิดใหม่ประมาณ 30 ร้านค้า จากปัจจุบันมีพื้นที่ในศูนย์การค้ารวม 500,000 ตร.ม.

โดยศูนย์การค้าได้ จัดสรรพื้นที่แต่ละร้านค้าใหม่ ให้มีความเหมาะสม โดยบางร้านค้ามีขนาดพื้นที่เล็กลง เพื่อให้ร้านใหม่สามารถเข้ามาเปิดให้บริการได้ อย่างไรก็ดีมั่นใจว่าจากแผนงานที่วางไว้จะทำให้ปี 2555 มีผลประกอบการเติบโต 10-15% และมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นในระดับ 10-15% เช่นเดียวกัน จากปัจจุบันวันธรรมดา มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการที่ 150,000 คน และวันหยุด 200,000 คน
ในเดือนพ.ย. ที่ผ่านมาศูนย์ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม ส่งผลให้ยอดขายลดลง 10% ส่วนในเดือน ต.ค.ยอดขายลดลงเล็กน้อย โดยลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติลดลงเหลือเพียง 20% และเป็นลูกค้าคนไทย 80% จากเดิมที่เป็นลูกค้าต่างชาติ 30% และคนไทย 70% แต่คาดว่าธ.ค.นี้ ยอดขายจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวจนใกล้ถึงสถานการณ์ปกติ อีกทั้งลูกค้าต่างชาติก็กลับเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้น จึงคาดว่า ในสิ้นปีนี้ ผลประกอบการของบริษัทจะเติบโต 10% ตามเป้าหมายที่วางไว้ นายเกรียงศักดิ์ กล่าวและว่า
กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงนั้น คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ในไตรมาสแรกของปี 2555 เนื่องจาก ภาครัฐเตรียมงบกระตุ้นเศรษฐกิจไว้เป็นตัวเลขค่อนข้างสูง และมีแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและระบบป้องกันน้ำท่วม ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทาง รวมทั้ง ภาคธุรกิจประกัน ภาคการเงิน และเอกชนต่างอัดฉีดเงินเข้าไปสู่ระบบจำนวนมาก จึงเกิดแรงกระเพื่อมทาง ทำให้เงินสะพัดและหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจสูงราว 8-10 รอบ ทำให้เชื่อว่ากำลังซื้อจะกลับมาฟื้นตัวได้เร็ว

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,697 18-21 ธันวาคม พ.ศ. 2554