จับทิศท่องเที่ยวไทย 2 ล้านล้านบาท

เปิดมุมมองการสร้างโอกาสใหม่ขับเคลื่อนท่องเที่ยวไทยในเวทีสัมมนา "จับทิศท่องเที่ยวไทย 2 ล้านล้านบาท ฯ"จากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการท่องเที่ยวทั้งจากภาครัฐและเอกชน อาทิ นายกงกฤช หิรัญกิจ ประธานฝ่ายนโยบายสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นางกมลวรรณ วิปุลากร กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทดิเอราวัณ จำกัด (มหาชน) นายชิดชัย สาครบดี อุปนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว(แอตต้า) ดร.นิตินัย ศิริสมรรถการ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด และนายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน)

++โจทย์ 2 ล้านล้านบาทเป็นไปได้หรือไม่

กมลวรรณ : จากโอกาสที่มีอยู่คาดว่าเป็นไปได้ โดยเฉพาะเอเชีย ที่ปัจจุบันมีจำนวนประชากรครึ่งหนึ่งของโลก มีการขยายตัวของการเดินทางท่องเที่ยวในภูมิภาคนี้กว่า 400 ล้านคนและประเทศไทยก็มีพื้นฐานของความแข็งแกร่งด้านการท่องเที่ยว ซึ่งมีโอกาสสูงสำหรับการขยายตัวของนักท่องเที่ยวจากจีน อินเดีย และรัสเซีย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 100 ล้านคน จำนวนการเดินทาง 2 พันล้านทริปในอีก 10 ปีข้างหน้านี้ หรือเพิ่มขึ้นกว่า 5 เท่า จากปัจจุบันที่อยู่ราว 47ล้านคน ก็ถือว่าเป็นโอกาสของไทย และปัจจุบันทัวร์จีนก็ไม่ใช่ทัวร์ราคาถูกเหมือนในอดีตอีกต่อไป
"จากเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตสูงขึ้นมาก ทำให้เขามีกำลังซื้อมากขึ้น ต้องการเซอร์วิสที่ดี พักโรงแรม 4 ดาว ชอบสปาและช็อปปิ้ง และต้องการประสบการณ์ในการเดินทางท่องเที่ยว รวมถึงมีกลุ่มนักท่องเที่ยวแบบเดินทางเที่ยวด้วยตัวเอง(เอฟไอที)เที่ยวไทยเพิ่มขึ้น ธุรกิจจึงต้องทำความเข้าใจกับตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวในตลาดเหล่านี้ และต้องยอมรับว่าจีนและนักท่องเที่ยวจากเอเชียมีการใช้จ่ายมากกว่านักท่องเที่ยวยุโรป"

นอกจากนี้เทคโนโลยีปัจจุบันยังทำให้โลกเล็กลงอย่างมาก การใช้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่อย่างอินเตอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์กเพื่อโปรโมตธุรกิจก็เป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องเข้าไปเจาะเพิ่มขึ้น และการขยายตัวของสายการบินต้นทุนต่ำก็ช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างมาก โดยการเติบโตในเอเชียมีการขยายตัวของจำนวนที่นั่งกว่า 7% จากโอกาสเหล่านี้สรุปได้ว่าเป้าหมายนี้ของรัฐบาลก็มีโอกาสอยู่มาก แต่ขณะเดียวกันความท้าทายก็มีสูง เพราะเราต้องแข่งขันกับอีกหลายประเทศในภูมิภาคนี้

กงกฤช: เชื่อว่าเป็นไปได้ เพราะจากการคาดการณ์ฐานนักท่องเที่ยวในปี2554 ที่จะมีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ 19 ล้านคน อัตราการขยายตัวของนักท่องเที่ยวจะอยู่ที่ 7% ดังนั้นในอีก 4 ปีข้างหน้าการขยายตัวของนักท่องเที่ยวก็น่าจะอยู่ที่ 25 ล้านคน สร้างรายได้ 1 ล้านล้านบาท แต่หากนำอัตราการขยายตัวของการท่องเที่ยวอาเซียนมาจับด้วย การท่องเที่ยวไทยก็น่าจะขยายตัวได้ 10% ตัวเลขนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวไทยก็น่าจะขยับไปเป็น 28 ล้านคน สร้างรายได้ 1.2 ล้านล้านบาท

ขณะที่การเดินทางเที่ยวในประเทศของคนไทย ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่91 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้ราว 4 แสนล้านบาท อัตราการโต5-6% ต่อปี ทำให้ในอีก 4 ปีก็น่าจะขยับมาใกล้120 ล้านคนครั้ง สร้างรายได้ 5.5 แสนล้านบาท ดังนั้นเมื่อรวมกันรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวไทยในอีก 4 ปีข้างหน้าก็จะอยู่ที่1.6 ล้านล้านบาทขาดอีกกว่า 4 แสนล้านบาทกว่าจะถึงเป้าหมาย ซึ่งหากกระตุ้นเต็มที่ก็น่าจะทำได้ แต่หากรวมมิติด้านรายได้จากการลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวก็เกินกว่า 2 ล้านล้านบาทไปแล้ว จึงอยากให้รัฐบาลขยายมิติมาดูแลการลงทุนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย

ชิดชัย : โจทย์นี้เป็นไปได้แต่ค่อนข้างยาก เพราะการท่องเที่ยวเราทำงานกันแบบไม่บูรณาการ เอกชนทำแต่ฝ่ายเดียวก็คงไม่ไหว และที่สำคัญเราไม่มีผู้นำทัพที่มีพาวเวอร์ในระดับประเทศมาผลักดันให้การท่องเที่ยวก้าวกระโดดได้ เพราะเจ้าภาพใหญ่ที่มานั่งต้องสามารถประสานกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องเพื่อนำไปสู่เป้าหมายเดียวกันได้ เพราะทุกวันนี้การทำงานก็มีการขัดขากัน ตั้งแต่การตรวจคนเข้าเมือง(ต.ม.) คิดดูถ้านักท่องเที่ยวเข้ามา 30 ล้านคน ต.ม.จะปรับตัวให้บริการทันไหม สนามบินรองรับได้ไหม และการทำงานของกระทรวงการท่องเที่ยวฯก็ขาดศักยภาพ ทุกอย่างล้วนติดขัดกลไกการร่วมมือของภาครัฐ จากการไม่มีเจ้าภาพใหญ่ที่มีอำนาจในการบังคับหรือขอร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมทำงานในลักษณะบูรณาการได้

โชคชัย:หากพูดถึงดีมานด์ของนักท่องเที่ยวการบินไทยมั่นใจว่าตลาดมีแน่นอน แต่ถ้าทำเหมือนในอดีตที่ผ่านมาคงไม่ได้ ต้องทำใหม่ เพราะต้องยอมรับว่าการเติบโตของการท่องเที่ยวที่ผ่านมาเอกชนก็เป็นภาคส่วนสำคัญหลักในการขับเคลื่อนด้านการท่องเที่ยวจนโตมาในระดับหนึ่ง แต่ถ้าจะให้ก้าวกระโดดตามเป้าหมายต้องมีเป้าหมายการบริหารจัดการที่ชัดเจน มีรูปธรรม แต่ที่ผ่านมาเอกชนก็ไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆจากรัฐ อย่างการลงทุนกว่า 4 แสนล้านบาทในการเปลี่ยนฝูงบิน 75 ลำของการบินไทยก็เป็นการวางแผนจากสิ่งที่เอกชนมีข้อมูลจากการดำเนินธุรกิจ

ดร.นิตินัย: คิดว่าความเป็นไปได้พอมี แต่ถ้าปล่อยให้การท่องเที่ยวเติบโตแบบนี้ตามยถากรรมไม่คิดใหม่ทำใหม่โจทย์นี้ก็คงเป็นไปไม่ได้ ซึ่งการสร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท ต้องเพิ่มทั้งปริมาณของนักท่องเที่ยวและเพิ่มค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยว ซึ่งหลังเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจของยุโรปและสหรัฐฯ จากที่เคยคิดเป็น 60%ของจีดีพีโลก แต่วันนี้ลดลงอย่างมาก และเกิดการเปลี่ยนขั้วเศรษฐกิจมาอยู่ที่เอเชีย และพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป การจัดกิจกรรมและการนำเสนอจุดขายด้านการท่องเที่ยวจึงต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคจึงจะเพิ่มค่าใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวได้

++การผลักดันไปสู่เป้าหมายต้องทำอย่างไร

กมลวรรณ: ต้องสร้างความชัดเจนให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยในการเดินทางมาเที่ยวไทย ซึ่งภารกิจนี้คงไม่ใช่เรื่องแค่กระทรวงการท่องเที่ยวฯแต่ต้องรวมถึงกระทรวงอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย ขณะที่จุดเด่นของแวลู ฟอร์มันนี่ ของการท่องเที่ยวไทย ก็ไม่ใช่ทุกอย่างต้องถูกเกินไป ธุรกิจควรสร้างความแข็งแกร่งเพื่อแข่งขันได้ ไม่ใช่แข่งกันตัดราคา ก็จะเป็นการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวได้ และอยากให้รัฐบาลสนับสนุนเอกชนเหมือนในต่างประเทศ ทั้งการลงทุน การทำโรดโชว์ เทรดโชว์ อย่าให้เราเดินคนเดียว ทุกคนทำกำไรจากธุรกิจได้ แต่จะให้เราไปสู้หรือแข่งขันกับผู้เล่นที่เป็นคู่แข่งของการท่องเที่ยวไทยได้ รัฐบาลต้องสนับสนุนและเป็นผู้นำ และเราพร้อมให้การสนับสนุนมากกว่า
กงกฤช:การเติบโตของการท่องเที่ยวไทยกว่า 50 ปีผมให้เครดิตทั้งททท.และการบินไทย ที่ผ่านมาแม้ไม่บูรณาการการท่องเที่ยวก็โตด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว และสิ่งสำคัญคือเราต้องจัดบ้านเราเอง มีพิมพ์เขียวหรือมีนโยบายที่ชัดเจนว่าการท่องเที่ยวจะเดินไปทางไหน ซึ่งที่ผ่านมาสภาก็เคยประมวลปัญหาที่ต้องการผลักดันให้มีความชัดเจนในนโยบายใน 4 เรื่องได้แก่

1.การพัฒนาการท่องเที่ยวใน 8 กลุ่มคลัสเตอร์ทั่วประเทศ+กรุงเทพฯ เพื่อกระจายการท่องเที่ยว เพราะจากการมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นแหล่งท่องเที่ยวเดิมก็มีปัญหาเรื่องความเสื่อมโทรม
2.การแก้ปัญหาการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยว ที่ต้องมีรถโดยสารที่มีมาตรฐานและปลอดภัย
3.การพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี และการแก้ปัญหาความไม่ก้าวหน้าในตำแหน่ง
4.ผลตอบแทนในการทำงานของบุคลากรในภาคการท่องเที่ยวหากเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น ซึ่งทั้งหมดเป็นปัญหาเรื่องโครงสร้างที่ต้องมีความชัดเจนในการแก้ปัญหา

ชิดชัย:นอกจากการบูรณาการด้านการท่องเที่ยวแล้ว จากแนวโน้มการตลาดที่เปลี่ยนไปจากปัญหาภาวะเศรษฐกิจ ทำให้นักท่องเที่ยวยุโรปและสหรัฐอเมริกาชะลอตัว ฐานตลาดเปลี่ยนมาเป็นเอเชีย ธุรกิจต้องปรับการทำงานให้ทันกันตลาดที่เปลี่ยนไป การนำเสนอโปรดักต์ก็ต้องให้สอดคล้องกันด้วย เพื่อสร้างรายได้ให้เกิดขึ้น และจากจำนวนนักท่องเที่ยวตามเป้าหมาย 30 ล้านคน ทุกสนามบินในเมืองท่องเที่ยวหลักก็ต้องมีมาตรการสนับสนุนและรองรับ เช่น การดันเชียงใหม่เป็นฮับของภาคเหนือ การส่งเสริมชาร์เตอร์ไฟลต์ของสนามบินดอนเมือง เป็นต้น

ดร.นิตินัย: แนวทางรองรับการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยว ทอท.ได้เตรียมแผนไว้แล้วสำหรับรองรับการขยายตัวของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มจาก 45 ล้านคน เป็น 65 ล้านคน ในปี 2559 แต่ยอมรับว่ากว่าสนามบินจะขยายแล้วเสร็จสิ่งที่ผู้โดยสารจะต้องเผชิญคือคุณภาพในการบริการที่ลดลง จากจำนวนผู้โดยสารในปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 46 ล้านคน ซึ่งเกินขีดความสามารถในการรองรับของสนามบิน แต่ทอท.ก็จะปรับวิธีการบริหารจัดการเพื่อลดผลกระทบที่เกิดขึ้นให้น้อยที่สุด

โชคชัย : การขยายตัวของการท่องเที่ยวแบบก้าวกระโดดเป็น 2 เท่านั้น ปัญหาที่ต้องเจอคือปัญหาคอขวดที่สนามบินสุวรรณภูมิ ที่เชื่อว่ากว่าขยายสนามบินเสร็จต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-6 ปี และภูเก็ต ก็จะโตเร็วมาก ปัญหาเหล่านี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องพร้อมรับมือ ซึ่งภาคการขนส่งทางอากาศในขณะนี้ก็เริ่มมีข่าวดีถึงการตั้งคณะทำงานในการบูรณาการทำงานร่วมกันแล้วเพื่อนำแผนของแต่ละหน่วยงานมาดูกันว่าจะขยายกันอย่างไร การบินไทยมีแผนขยายธุรกิจอย่างไร หน่วยงานอื่นๆของกรมการขนส่งทางอากาศ บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทยฯ หรือทอท.มีแผนของแต่ละองค์กรอย่างไร เพื่อนำแผนมาทำให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งก็จะทำให้เกิดการทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ในภาพรวมเพิ่มขึ้น ทั้งหมดเป็นมุมมองจากเวทีสัมมนากับความท้าทายในการสร้างโอกาสใหม่ท่องเที่ยวไทย

ขอบคุณข้อมูลข่าวจากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,673 วันที่ 25-28 กันยายน พ.ศ. 2554
http://www.thanonline.com/index.php?option=com_content&view=article&id=85057:2011-09-23-09-02-22&catid=136:a-tourisn-&Itemid=448

My Slow Day เที่ยวเมืองเหนือทีละก้าว

ททท.จัดโครงการเที่ยวเมืองเหนือทีละก้าว…My Slow Dayปรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยว ชูจุดขายการท่องเที่ยวแนวใหม่สัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรมแบบเจาะลึก เผยคอนเซปลดจังหวะการเดินทางให้ช้าลง เพียงแค่มอบเวลา“1 วันหยุด” สู่แนวความคิด “MySlow Day” เผยเชิญนิ้วกลม นักเขียนชื่อดังร่วมถ่ายทอดในเว็บไซต์ www.slowtravelnorth.com แนะนำสถานที่ 10 เส้นทาง 10 เมือง

MySlowDayพร้อมเชิญแป้งภัทรีดาประสานทองนักวาดภาพประกอบชื่อดังทำMy Slow day map10 เส้นทางพร้อมทำหนังสือคู่มือรูปแบบ e-bookรุกนักท่องเที่ยวกลุ่มรุ่นใหม่ หวังสร้างกระแสผ่านโลกออนไลน์

นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกล่าวว่า ททท.ได้จัดโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวภาคเหนือ “เที่ยวเมืองเหนือทีละก้าว…My Slow Day” จัดขึ้นระหว่างเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการเดินทางท่องเที่ยวภาคเหนือ ภายใต้แนวคิด “Slow Travel” ซึ่งถือเป็นโครงการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยในปีที่แล้วถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างเทรนด์ใหม่ในการท่องเที่ยว

ทั้งนี้รูปแบบเป็นการนำเสนอสินค้าแนวใหม่ที่ตอบสนองนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ที่จะทำให้เราได้มองเห็นความงามของสิ่งใกล้ตัวมากขึ้น ได้ความรู้ ได้ปัญญา ได้ความภูมิใจและได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ได้คิดอะไรมากขึ้น ได้เห็นอะไรที่ แปลกออกไป จากสิ่งที่เราเคยเห็นหรือเคยรู้มาก่อน ส่วนมากนักท่องเที่ยวที่ชอบการท่องเที่ยวแบบ Slow Travel นั้นมักจะเดินทางกันกลุ่มเล็กๆ

ด้วยเหตุนี้ Slow travel โดยต้องการปรับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ให้มาท่องเที่ยวแบบใส่ใจรายละเอียดมากขึ้น ถือเป็นการเปิดโอกาสในการท่องเที่ยวในแบบหัวใจใหม่ท่องเที่ยวแบบใส่ใจสิ่งแวดล้อมนำไปสู่การท่องเที่ยวเมืองไทยที่มีความยั่งยืน

“การท่องเที่ยวแบบ slowถือเป็นการท่องเที่ยวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่จะทำให้เราได้มองเห็นความงามของสิ่งใกล้ตัวมากขึ้น ได้ความรู้ ได้ปัญญา ได้ความภูมิใจและได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ได้คิดอะไรมากขึ้น ได้เห็นอะไรที่ แปลกออกไป จากสิ่งที่เราเคยเห็นหรือเคยรู้มาก่อนส่วนมากนักท่องเที่ยวที่ชอบการท่องเที่ยวแบบ Slow Travel นั้นมักจะเดินทางกันกลุ่มเล็กๆ”

ทั้งนี้คอนเซปของโครงการนี้แตกต่างจากปีที่แล้วโดยได้ปรับให้การเดินทางแบบSlow Travel ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินเอื้อม เพียงแค่ลดจังหวะการเดินทางให้ช้าลง เพียงแค่มอบเวลา “1 วันหยุด” ให้เป็นวันที่ชีวิตได้ออกเดินทางช้าๆกับสิ่งที่สนใจ นำมาสู่แนวความคิด “My Slow Day เที่ยวเมืองเหนือทีละก้าว...วันละก้าว”

โดยกลุ่มเป้าหมายจะมุ่งเน้นที่กลุ่มนักเดินทางรุ่นใหม่วัยทำงานรักการท่องเที่ยวที่ใช้สื่ออินเตอร์เนทเป็นประจำกระตุ้นให้เกิดเป็น community ของคนที่ชอบหรือสนใจในการเที่ยวแบบ slow travel โดยคาดว่าจะได้รับจะมุ่งเน้นในการกระตุ้นการท่องเที่ยวไปยังภาคเหนือในช่วง low season มากขึ้นทั้งเป็นการกระจายการท่องเที่ยวออกไปยังจังหวัดรองมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายตัวด้านการท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี จากสถิติพบว่าจำนวนกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยพบว่ามีอัตราการเติบโตก้าวกระโดด ปี 2552: ตัวเลขของ NECTEC อยู่ที่ 18.3 ล้านคน และปี 2553 ตัวเลขผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 24 ล้านคน ขณะที่ปี 2554คาดว่ายอดผู้ใช้จะเพิ่มขึ้นอีกมาก จากปัจจัยราคาของบรอดแบนด์และสมาร์ทโฟนที่มีราคาถูกลง (ที่มา - ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ NECTEC)

ซึ่งในปีนี้กลยุทธ์ทางการสื่อสารจะมุ่งเน้นในการสร้างความเข้าใจในแนวความคิดการเที่ยว Slow Travel เที่ยวเมืองเหนือทีละก้าว... วันละก้าวผ่านสื่อ Website / Social Network &Online มีการสร้างเว็ปไซต์www.slowtravelnorth.com ให้เป็นแหล่งข้อมูล การให้ความรู้ ความเข้าใจทั้ง แนวคิด และ วิธีการ ในการท่องเที่ยวแบบ Slowโดยเชิญ คุณนิ้วกลม สราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียนชื่อดังผู้ที่มี “หัวใจรัก” และ “เข้าใจ” ในการท่องเที่ยวแบบทีละก้าว เพื่อเป็น “เพื่อนเดินทาง” ในการให้ความรู้ ความเข้าใจ แนะวิธีการท่องเที่ยวแบบ My Slow day เที่ยวทีละก้าว…วันละก้าว ให้เป็นเรื่องง่าย และปฏิบัติตามได้ไม่ยาก ตั้งแต่เริ่มเตรียมตัวเดินทางแบบทีละก้าว, วิธีการท่องเที่ยวแบบทีละก้าวและแชร์ประสบการณ์ที่น่าสนใจ

พร้อมทั้งจะแนะนำสถานที่ 10 เส้นทาง10 เมืองMy Slow Day ใน สไตล์ นิ้วกลมอาทิ ช้าช้าดีกว่าโฉบเฉี่ยว, เห็นมากกว่าแค่มอง, ได้ดมดีกว่าแค่ได้ดู,ชิมช้าๆ ดีกว่าฟาสต์ฟู้ด, ลงมือมากกว่าแค่ลงจอด, คุยมากกว่าลุยเป็นต้น

ทั้งนี้สาเหตุที่เลือกนิ้วกลมนั้นเนื่องจากเป็นนักเขียนที่ชอบการท่องเที่ยวแบบ Slow ชอบเดินทางท่องเที่ยวลักษณะนี้ โดยงานเขียนของเขาจะเป็นการเก็บเกี่ยวมาจากการท่องเที่ยวแบบ Slow และอยากชวนนักท่องเที่ยวและมีกลุ่มแฟนคลับมาเป็นคนชอบเที่ยวมาทดลองเที่ยวลักษณะในรูปแบบเดียวกัน

นอกจากนี้ยังสร้างเครื่องมือที่เป็นตัวช่วยแนะแนวทางในการท่องเที่ยวแบบเนิบช้าเพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทาง ด้วย “My Slow day map” โดยคุณแป้ง ภัทรีดา ประสานทองนักวาดภาพประกอบชื่อดัง จัดทำ E-map 10 เส้นทาง โดยนำเสนอตาม “วิธีการท่องเที่ยวแบบSlow” โดยสามารถ Download ในเว็ปไซต์ได้ฟรี

พร้อมทั้งจัดทำคู่มือหนังสือในรูปแบบ e-book“เที่ยวทีละก้าว slow travel กับ 10 กูรู” นำเรื่องราวในการเดินทางต่างๆของ slow travel 1 มานำเสนอ พร้อมให้ download ได้ฟรีส่วนหน้า Page จะรวมเรื่องราวการเดินทางในแบบ slow โดย Blogger และผู้ที่มีใจรักการท่องเที่ยวแบบ Slow ได้มาถ่ายทอดเรื่องราว แบ่งปันประสบการณ์การเที่ยวทีละก้าว

รวมทั้งยังได้มีการวางแผนงานและดำเนินกิจกรรมออนไลน์ผ่าน Facebook อย่างน้อย 4 กิจกรรม โดยให้ Facebook เป็น Online Community ของคนที่ชอบหรือสนใจการท่องเที่ยวเป็น Slow Travel ในภาคเหนือรวมถึงการประสานจัดหาของที่ระลึก/ของรางวัล สำหรับการดำเนินกิจกรรมของโครงการ

นอกจากนี้ยังได้มีการจัดทำกิจกรรมทางการตลาดด้วยการจัดทำSales Promotion Campaign นำเสนอสิทธิพิเศษของที่พัก ร้านอาหาร หรือบริการทางการท่องเที่ยวในพื้นที่ อย่างน้อย 20 สิทธิพิเศษ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้แก่การเดินทางในรูปแบบ Slow Travel เช่น สิทธิพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวที่พักนานขึ้น หรือแพ็คเกจ Workshop ที่จะทำให้นักท่องเที่ยวใช้เวลาได้นานขึ้นอีกด้วย

โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ เปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2554

กลุ่มโรงแรมอิสตินและอิสตินเรสซิเดนซ์ รุกหน้าเปิดโรงแรมใหม่ระดับพรีเมียม “โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ” โรงแรมแห่งใหม่ล่าสุดบนถนนสายเศรษฐกิจใจกลางเมือง บนถนนสาทร เป็นเจ้าของโดยบริษัท บีมีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง จำกัด และบริหารงานโดยบริษัท แอ๊บโซลูท โฮเต็ล เซอร์วิส จำกัด กำหนดการเปิดให้บริการเดือนธันวาคม 2554 นี้

โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ จะพร้อมให้บริการด้วยห้องพักจำนวน 390 ห้อง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และโดดเด่นด้วย ความสะดวกสบายในการเดินทางด้วยสะพานเชื่อมต่อโดยตรงจากสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสุรศักดิ์ เข้าสู่ตัวโรงแรม ทำให้โรงแรมฯเหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางที่ต้องการหาที่พักใจกลางเมืองและเดินทางในเมืองหลวงได้อย่างสะดวก อีกทั้ง โรงแรมฯอยู่ใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา จุดชมวิวและแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของกรุงเทพฯ ด้วยการเดินทางเพียงไม่กี่นาทีอีกด้วย

“โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมใหม่ล่าสุดของกลุ่มโรงแรมอิสตินและอิสตินเรสซิเดนซ์ ซึ่งถือเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว เหนือระดับด้วยที่ตั้งที่ดีเยี่ยม เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางทั้งกลุ่มที่เดินทางมาเพื่อพักผ่อนและกลุ่มนักธุรกิจ แต่อย่างไรก็ดี เรายังคงเน้นการนำเสนอห้องพักในราคาที่คุ้มค่าและคุณภาพการบริการที่เหนือความคาดหมาย ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของเราตลอดมา” มร.จอห์น เวสโทบี้ กรรมการผู้จัดการ ภาคพื้นเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท แอ๊บโซลูท โฮเต็ล เซอร์วิส จำกัด และ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ กล่าว

“ด้วยความเพียบพร้อมทั้งด้านบริการและที่ตั้งทำให้เรามั่นใจอย่างมากว่า โรงแรมฯแห่งนี้จะยิ่งเสริมความแข็งแกร่งทางการตลาดของเราในกลุ่มงานประชุมและสัมมนา (MICE) ซึ่งเราประสบความสำเร็จอย่างมากกับโรงแรมอิสติน มักกะสัน กรุงเทพฯ ประกอบกับกรุงเทพฯมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก ด้วยปัจจัยดังกล่าว โรงแรมฯนี้จะเป็นความสำเร็จขั้นต่อไปของกลุ่มโรงแรมอิสตินและอิสตินเรสซิเดนซ์อย่างแน่นอน” จอห์นกล่าวสรุป

โรงแรมอิสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ ประกอบด้วยห้องพักจำนวนทั้งหมด 390 ห้อง แบ่งเป็น ห้องซูพีเรีย 322 ห้อง ห้องเอ็กเซ็กคูทีฟซูพีเรีย 35 ห้อง ห้องเอ็กเซ็กคูทีฟดีลักซ์ 30 ห้อง และห้องสวีท 3 ห้อง โดยมีขนาดตั้งแต่ 32 ถึง 78 ตารางเมตร จากห้องพักทุกห้องสามารถชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาหรือวิวเส้นขอบฟ้าของเมืองกรุงเทพ

ผู้เข้าพักห้องระดับเอ็กเซ็กคูทีฟจะได้รับบริการพิเศษ อาทิ เช็คอินและเช็คเอาท์อย่างเป็นส่วนตัว บริการอาหารเช้า ชายามบ่าย ค็อกเทลช่วงเย็น อาหารว่างคานาเป ชา กาแฟ และเครื่องดื่มตลอดวัน ณ เอ็กเซ็กคูทีฟเลาจน์ ชั้น 32 นอกจากนี้ โรงแรมมีบริการ “แฟมิลี่ฟลอร์” หรือชั้นสำหรับครอบครัว และ “ห้องเพลย์รูม” ซึ่งมีเครื่องเล่นและเกมส์มากมายสำหรับเด็ก ณ ชั้น 15 ไว้บริการสำหรับกลุ่มครอบครัวและคุณหนูโดยเฉพาะ

โรงแรมฯยังมีบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ ได้แก่ ห้องอาหารนานาชาติให้บริการตลอดวัน ห้องอาหารเมดิเตอเรเนียน ห้องอาหารจีน ล็อบบี้เลาจน์ สระว่ายน้ำกลางแจ้ง ฟิตเนสเซ็นเตอร์ บิสสิเนสเซ็นเตอร์ และบริการรถรับ-ส่ง เป็นต้น นอกจากนี้ โรงแรมฯพร้อมรองรับงานจัดเลี้ยงและงานประชุมด้วยห้องสุรศักดิ์แกรนด์บอลรูมที่มีขนาดใหญ่กว้างขวางสามารถรองรับได้ถึง 600 ท่าน ห้องจัดเลี้ยง 3 ห้อง และห้องประชุม 2 ห้อง บนพื้นที่รวม 1,200 ตารางเมตร โดยทุกห้องได้รับการออกแบบให้ได้รับแสงธรรมชาติ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทันสมัยครบครัน พร้อมรองรับทุกความต้องการด้วยหัวใจแห่งการบริการ
ข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองห้องพัก กรุณาติดต่อ 02 212 3738 หรือ
อีเมล์ rsvnm@eastingrandsathorn.com เยี่ยมชมเว็บไซต์ได้ที่ www.eastingrandsathorn.com
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02 212 3686 Eastin Grand Hotel Sathorn Bangkok

โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ เปิดตัวแคมเปญ Epicurean Experience ถึง 15 ธันวาคม 54

โรงแรมเดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพฯ เปิดตัวแคมเปญ "Epicurean Experience." มอบสิทธิประโยชน์แก่สมาชิกอัลทิมา ซิตี้แบงก์ซีเล็คท์ และซิตี้แบงก์แพลตตินั่มซีเล็คท์

พิเศษสุด...สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตอัลทิมา ซิตี้แบงก์ซีเล็คท์ และ ซิตี้แบงก์แพลตตินั่มซีเล็คท์ เมื่อใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ครบทุกๆ 2,000 บาทต่อเซลล์สลิป ณ ห้องอาหารที่ เดอะ เซนต์ รีจิส กรุงเทพ รับบัตรกำนัลมูลค่า 500 บาท สำหรับการรับประทานอาหารครั้งต่อไป ที่ห้องอาหารวูว์, เดอะ เซนต์ รีจีส บาร์, เดอะ ดรอว์อิ้ง รูม และ ดิแคนเตอร์ ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 15 ธันวาคม ศกนี้ สอบถามรายละเอียดและสำรองที่นั่งได้ที่ 02-207-7777

สดจากยอดดอย ผัก ผลไม้จากโครงการหลวงครั้งที่ 42 วันที่ 16 -21 กันยายน 54

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 3  ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง  ขอเชิญร่วมงาน เทศกาลผัก ผลไม้ จากโครงการหลวง ครั้งที่ 42  สุขภาพดีกับผักสด ผลไม้สดจากยอดดอย ที่มูลนิธิโครงการหลวงได้คัดสรรมาอย่างพิถีพิถันก่อนถึงมือคุณ  เลือกซื้อสินค้าราคาพิเศษ อาทิ ผลิตภัณฑ์แปรรูปทางการเกษตรกว่า 40 ชนิด  จาก 38 มูลนิธิโครงการหลวง  ดอกไม้สด ดอกไม้แห้ง ผลิตภัณฑ์จากร้านค้าในพระราชดำริ  ร้านดอยคำ ร้านภูฟ้า ร้านดอยตุง ร้านจิตรลดา และร้านจากมูลนิธิสายใจไทย  พร้อมลิ้มรสหลากหลายเมนูจากผลิตภัณฑ์โครงการหลวง โดยเชฟ จากโรงแรม และภัตตาคาร ชั้นนำ  ระหว่างวันที่ 16 – 21 กันยายน 2554  ณ ลานกิจกรรมหน้า VDO WALL ชั้น G  และริมระเบียงชั้น 1  ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 3

การจัดงานเป็น 3 โซนหลัก ๆ โซนไลฟ์สไตล์ ซูเปอร์มาร์เกต ออกร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์โครงการหลวง อาทิ ผัก ผลไม้ ผลิตภัณฑ์แปรรูป และผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ประจำปี อาทิ น้ำเคปกูสเบอร์รี่, ซีเรียลบาร์ ที่เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปมาจากข้าวซ้อมมือ โฮลวีท เมล็ดฟักทอง ผสมคลุกเคล้าด้วยน้ำเสาวรสและผลไม้อบแห้ง เหมาะสำหรับรับประทานแทนอาหารมื้อเร่งด่วน, ถั่วแดงหลวง, ผักกวางตุ้ง, ต้นอินทรีย์  และ ข้าวดอย นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์โครงการหลวงตราดอยคำ ซึ่งความพิเศษในปีนี้ เน้นผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อสุขภาพ เช่น น้ำมะเขือเทศ 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำผลไม้รวม 50 เปอร์เซ็นต์ น้ำพีช 100 เปอร์เซ็นต์ น้ำพีชผสมน้ำผลไม้รวม เนื้อพีชทาขนมปัง น้ำข้าวกล้องงอก น้ำข้าวกล้องหอมนิลงอกผสมธัญพืช ผลิตภัณฑ์น้ำสมุนไพรผสมน้ำมะนาว อาทิ น้ำอัญชันผสมมะนาวและน้ำมะตูมผสมมะนาว รวมถึงผลิตภัณฑ์จากร้านโครงการส่วนพระองค์ที่ประกอบด้วย ร้านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ศูนย์ศิลปาชีพบางไทร, ร้านจิตรลดา,โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา, มูลนิธิสายใจไทย, ร้านภูฟ้า, สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์, มูลนิธิเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย และร้านโครงการทูบีนัมเบอร์วัน ในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
พบสินค้าคุณภาพ ราคาพิเศษ จากโครงการพระราชดำริ อาทิ ร้านดอยคำ ร้านภูฟ้า ร้านดอยตุง ร้านจิตรลดา และร้านจากมูลนิธิสายใจไทย
สัมผัสขบวนสินค้าจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ลองลิ้มชิมรสแมคคาเดเมียหลากหลายรสชาติ สัมผัสรสชาติ และกลิ่นที่หอมหวลจากกาแฟโครงการหลวง พร้อมรับโปรโมชั่น และของสมนาคุณสุดพิเศษจากร้านดอยตุง 
ดื่มด่ำบรรยากาศ ถนนคนเดิน ประตูท่าแพ เลือกชมและซื้อสินค้าที่ระลึกจากภาคเหนือ และสินค้า OTOP ที่ให้คุณได้เลือกสรรอย่างจุใจ

พิเศษ ! ซื้อสินค้าภายในศูนย์การค้า ครบ 1,000 บาท รับฟรีบัตร Gift Voucher แลกรับเมนูอาหารจากโรงแรม และภัตตาคารชั้นนำ จำนวนจำกัด  (วันละ 10 รางวัล ต่อโรงแรม หรือภัตตาคาร)

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ 3 สถาน คู่บ้านคู่เมืองปราจีน รอยพระพุทธบาทคู่ วัดแก้วพิจิตร ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ

ปราจีนบุรี เป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลากหลายแห่ง ทั้งสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติ ป่าเขาลำเนาไพร โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์ต่างๆ แหล่งท่องเที่ยววิถีชีวิตชุมชน รวมถึงศาสนสถาน ที่พัฒนามาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่นอกจากจะได้ทั้งความเพลิดเพลินแล้ว ก็ยังได้รับความสบายใจในการเข้าไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย สำหรับในพื้นที่เมืองปราจีนบุรี ที่มีหลักฐานในการตั้งถิ่นฐานของกลุ่มคนตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ได้รับอิทธิพลจากหลากหลายวัฒนธรรมและความเชื่อ ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านนับถือก็มีอยู่หลากหลายแห่ง โดยสถานที่สำคัญๆ ได้แก่


วัดแก้วพิจิตร เป็นเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยเศรษฐีชาวปราจีนบุรี ต่อมาเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้สร้างบูรณะวัดแห่งนี้ และสร้างพระอุโบสถหลังใหม่เพื่อทดแทนหลังเดิมที่สร้างด้วยไม้แล้วผุพังไป พระอุโบสถหลังใหม่สร้างด้วยการก่ออิฐถือปูน ซึ่งถือเป็นหลังแรกของจังหวัดปราจีนบุรี

พระประธานในพระอุโบสถ เป็นพระปางอภัยทาน สร้างเมื่อปี พ.ศ.2462 โดยเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และได้รับพระราชทานนามจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า “หลวงพ่ออภัยวงศ์” หรือ “หลวงพ่ออภัย” เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้สร้าง   พระอุโบสถหลังนี้มีความน่าสนใจคือ สถาปัตยกรรมและลวดลายประดับอาคารเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะไทย จีน ยุโรป และเขมร ฝาผนังด้านนอกพระอุโบสถมีภาพปูนปั้นเรื่องรามเกียรติ์ ส่วนฝาผนังภายในเป็นภาพวาดบนแผ่นผ้าเกี่ยวกับเรื่องพระพุทธศาสนา เช่น ทศชาติชาดก มารผจญ ซึ่งวาดโดยช่างหลวงในสมัยรัชกาลที่ 6 และยังมีศิลปกรรมแบบไทยประดับอยู่ทั่ว ศิลปะแบบจีน เห็นได้จากปูนประดับลายมังกร อยู่ที่บริเวณเชิงบันไดขึ้นพระอุโบสถ ศิลปะยุโรป ดูได้จากเสาแบบโรมันที่มีอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกพระอุโบสถ ส่วนศิลปะแบบเขมร เห็นได้จากซุ้มประตูทางเข้าพระอุโบสถทั้งสี่ด้าน  ที่ด้านหน้าของพระอุโบสถ มีอาคารเรียนหนังสือไทยและนักธรรมบาลี สร้างเป็นอาคารคอนกรีตตามสถาปัตยกรรมยุโรป มีสถูปโดมอยู่ด้านบน ซึ่งปัจจุบันได้ทำเป็นพิพิธภัณฑ์สถานวัดแก้วพิจิตร พิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่รวบรวมเราสิ่งของต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ทั้งสิ่งของเก่า เครื่องใช้ไม้สอย รวมถึงมีการรวบรวมคำสุภาษิตไทยไว้ตามมุมต่างๆ ด้วย


ถ้าสังเกตดูสัญลักษณ์ของจังหวัดปราจีนบุรี ก็จะเห็นว่าเป็นต้นโพธิ์ ซึ่งก็คือ ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ อำเภอศรีมโหสถ และยังถือเป็นต้นไม้คู่บ้านคู่เมืองของปราจีนบุรีอีกด้วย

ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ ถือว่าเป็นต้นโพธิ์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย เชื่อกันว่าเป็นต้นโพธิ์ที่เป็นหน่อจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่ตรัสรู้จากพุทธคยา ประเทศอินเดีย มีอายุกว่า 2,000 ปี ต้นโพธิ์ต้นนี้มีขนาดเส้นรอบวงของลำต้น 20 เมตร สูง 30 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 25 เมตร มีตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้กล่าวไว้ว่า พระเจ้าทวานัมปะยะดิษฐ์ เจ้าครองเมืองศรีมโหสถในสมัยขอมเรืองอำนาจ ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนา จึงได้ส่งคณะทูตเดินทางไปขอกิ่งต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าประทับเมื่อคราวตรัสรู้ จากเจ้าผู้ครองนครปาตลีบุตร ประเทศอินเดีย แล้วนำกิ่งโพธิ์นั้นมาปลูกที่วัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิแห่งนี้

บริเวณใต้ต้นโพธิ์ประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เป็นพระประธาน มีบริเวณให้คนเข้ามาสักการะพระประธานและเข้าไปปิดทองที่ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิได้ ส่วนรอบบริเวณนั้นทำเป็นรั้งระเบียงคตล้อมรอบ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางต่างๆ รวมถึงรูปหล่อเหมือนของเจ้าอาวาสวัดต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิตั้งแต่สมัยก่อน  ภายในบริเวณวัด ฝั่งตรงข้ามกับต้นโพธิ์ ยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญอยู่อีก คือ วิหารพระคันธารราช ซึ่งเป็นวิหารทรงตรีมุข ด้านในประดิษฐานรูปหล่อจำลอง หลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ พระพุทธจารย์โต พรหมรังสี และจำลองพระพุทธรูปสำคัญของเมืองไทย คือหลวงพ่อโสธร และหลวงพ่อโตวัดบ้านแหลม ส่วนพระประธานคือพระคันธารราช ซึ่งชาวเมืองศรีมโหสถให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมาก



เมื่อ พ.ศ.2529 ระหว่างการขุดแต่งโบราณสถานสระมรกต ซึ่งเป็นกลุ่มโบราณสถานทางพุทธศาสนา ที่เป็นการก่อสร้างซ้อนทับกันมาหลายสมัย เริ่มตั้งแต่ก่อนพุทธศตวรรษที่ 11 ถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างศิลาแลงและอิฐ ที่คงเหลือรากฐานเฉพาะอาคาร มีการค้นพบ รอยพระพุทธบาทคู่ สลักอยู่บนพื้นศิลาแลง  ลักษณะของพระบาททั้งคู่ทำเป็นรอยเท้ามนุษย์ตามธรรมชาติ มีปลายนิ้วเท้าเรียงไม่เสมอกัน และที่ฝ่าพระบาททั้งสองข้างสลักรูปธรรมจักรนูน ระหว่างรอยพระบาทมีการกากบาทสลักเป็นร่องลึกและมีหลุมอยู่ตรงกลาง สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อปักฉัตรหรือร่ม รอยพระพุทธบาทคู่ที่ค้นพบนี้ คาดว่าจะสร้างขึ้นในสมัยทวารวดีถึงสมัยลพบุรี ราวพุทธศตวรรษที่ 11-16 ซึ่งนับเป็นรอยพระพุทธบาทที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

บริเวณใกล้กับรอยพระพุทธบาท มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่มีการค้นพบพระพุทธรูปและโบราณวัตถุเป็นจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบัน ในบริเวณนี้มีการสร้างหลังคาคลุมรอยพระพุทธบาทไว้ และจัดพื้นที่ไว้ให้ประชาชนเข้าไปสักการะได้

ส่วนใกล้กับบริเวณโบราณสถานสระมรกต ก็เป็นพื้นที่ของ วัดสระมรกต ที่เปิดให้เข้าไปนมัสการพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์หลายองค์ อาทิ พระพุทธมหามงคลมรกต ประดิษฐานอยู่ภายในศาลา พระพุทธเมตตา ที่จำลองมาจากพุทธคยา ประดิษฐานอยู่ภายในวิหาร และต้นพระศรีมหาโพธิ์พุทธคยา จากประเทศอินเดีย

การเข้าไปนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามสถานที่ต่างๆ นอกจากจะได้เปิดหูเปิดตากับความรู้ที่เพิ่มมากขึ้นแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จะได้กลับมาอย่างแน่นอนก็คือความไม่รุ่มร้อน ความสงบ และสบายใจ

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครนายก (ดูแลพื้นที่ จ.นครนายก ปราจีนบุรี และสระแก้ว) โทร. 0-3731-2282, 0-3731-2284, 0-3731-5664

รอยพระบาทคู่

วัดแก้วพิจิตร โบสถ์งาม4แผ่นดิน

ต้นโพธิ์ศรีมหาโพธิ


ขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000115478

15-18 ก.ย. 54 Shopping Paradise 2011 ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

Shopping Paradise 2011 งานแสดงสินค้าจากผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย ที่รวบรวมสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ แว่นตา นาฬิกา ทั้งชาย และหญิง สินค้าและบริการความงาม สุขภาพ เครื่องสำอางค์แบรนด์ดัง เครื่องใช้และอุปกรณ์ตกแต่ง ของขวัญ และสินค้านำเข้า จากแบรนด์ชั้นนำ สำหรับครอบครัวทันสมัย พร้อมรวบรวมอาหารและเครื่องดื่มหลากหลาย เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าชม ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โซน C (ground)

- แฟชั่นและเครื่องหนัง
- ความงามและสุขภาพ
- ของขวัญและของตกแต่ง
- เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องใช้ไฟฟ้า เบ็ดเตล็ด
- อาหารและเครื่องดื่ม

เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋า ครั้งที่ 3 เสน่ห์ที่แตกต่าง เพิ่มโอกาสใหม่ ขยายมิติเที่ยวไทย 15-18 กันยายน 2554

สทน. ชวนคนไทย เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋าครั้งที่ 3 รวมสุดยอดสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน ผ่านผู้ประกอบการกว่า 300 คูหา ชูไฮไลท์มหกรรมพืชสวนโลก โครงการในพระราชดำริ ร่วมเฉลิมฉลอง 3 วิโรกาสสำคัญของคนไทย จับมือกสิกรไทย-กบข.- กองทัพบก เพิ่มทางเลือใหม่ด้านการท่องเที่ยว คาดผู้เข้าชมกว่า 3 แสนราย เงืนสะพัดเบื้องต้นกว่า 10 ล้านบาท ฟื้นท่องที่ยวในประเทศคืนสู่ภาวะปกติ

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) โดยความร่วมมือ ธนาคารสกิกรไทย สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย (FETTA) สมาคมท่องเที่ยวส่วนกลางและสมาคมท่องเที่ยวส่วนภูมิภาค จัดงาน “เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋า ครั้งที่ 3” ระหว่างวันที่ 15-18 กันยายน 2554 โดยใช้งบประมาณในการจัดงานประมาณ 10 ล้านบาท โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมกว่า 300 บูธ การจัดงานในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการขายสินค้าด้านการท่องเที่ยวในประเทศในช่วงปลายปี 2554 ไปจนถึงต้นปีหน้า โดยมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวทั่วไทย ร่วมเสนอขายสินค้าท่องเที่ยวระดับคุณภาพ จำนวน 375 คูหา อาทิ
  • บริษัท นำเที่ยว 
  • สายการบินภายในประเทศ 
  • โรงแรม 
  • รีสอร์ท 
  • สนามกอล์ฟ 
  • เรือ 
  • ภัตตาคาร 
  • รถเช่า 
  • แหล่งท่องเที่ยว 
  • กิจกรรมท่องเที่ยว 
  • อุปกรณ์การท่องเที่ยว 
  • ร้านค้าของฝาก 
  • ของที่รถลึกต่างๆ
รายชื่อบูทต่างๆที่ร่วมงาน เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋า ครั้งที่3

รายชื่อบูทต่างๆที่ร่วมงาน เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋าครั้งที่ 3

เสน่ห์ที่แตกต่างผ่านท่องเที่ยว 5 ภูมิภาค

นางสาวมัยรัตน์ พีระญาณ์โกเศส นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวภายในประเทศเป็นปัยจัยสำรัญในการสร้างการเจริญเติบโตให้กับผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งระดับธุรกิจขนาดใหญ่ ไปจนถึงระดับรากหญ้า ขณะที่ประเทศไทย มีความพร้อมทางด้านการท่องเที่ยวที่หลากหลาย และสามารถเดินทางท่องเที่ยวในทุกฤดูกาลอีกด้วย

สินค้าและบริการทางด้านการท่องเที่ยวของไทย มีความหลากหลายทั้งใน 5 ภูมิภาค ถือเป็น เสน่ห์ที่แตกต่าง ที่สามารถเลือกเดินทางไปเยี่ยมเยือนได้ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ที่ยังไม่ได้มีการทำตลาดมากนัก มานำเสอในการจัดงานในครั้งนี้ด้วย อย่างไรก็ตาม ยังคงนำเสนอความคุ้มค่าให้กับผู้ที่เข้ามาร่วมงาน ด้วยส่วนลดและโปรโมชั่นต่างๆรวมทั้งสิทธิพิเศษผ่านสถาบันการเงินต่างๆ โดยมีกิจกรรมบนเวทีเพื่อสร้างความสนุกสนามและมีสาระตลอดทั้ง 4 วัน รวมทั้งกิจกรรมลุ้นของรางวัลภายในงานมูลค่านับแสนบาท

สำหรับไฮไลท์ที่สำคัญทางด้านการท่องเที่ยวในช่วงปลายปีนี้ คือ มหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯราชพฤกษ์ 2554 ซึ่งจะจัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 ไปจนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555 โดยวัตถุประสงค์หลักในการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯในครั้งนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง 3 วิโรกาสสำคัญของคนไทย นั่นคือ ในปี 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎราชกุมาร จะทรงเจริญพระชนมายุก 60 พรรษา
ดังนั้นนอกจากการสนับสนุนการท่องเที่ยวทางภาคเหนือที่เชื่อมโยงกับงานดังกล่าวแล้ว ภายในงานยังนำเสนอเส้นทางการท่องเที่ยวตามโครงการพระราชดำริ ซึ่งกระจายอยู่ทั้วประเทศอีกด้วย

ขยายโอกาสใหม่-เส้นทางใหม่
การจัดงาน เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋าครั้งที่ 3 นอกจากจะมีการจำหน่ายแพ็คเกจด้านการท่องเที่ยวในราคาพิเศษแล้ว ยังมุ่งขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ อาทิ กลุ่มเกษตรกรหรือชาวนาไทย ซึ่งมีธนาคารกสิกรไทยเข้มาร่วมสนับสนุน โดยมีการจัดทำแพ็จเกจเพื่อการท่องเที่ยวแบบผ่อนชำระ ดอกเบี้ย 0 % หรือการจัดแพ็จเกจราคาพิเศษที่เริ่มต้นเพียง 500 บาท นับเป็นการเพิ่มโอกาสในการท่องเที่ยว ไปยังกลุ่มคนไทยในวงกว้างมากขึ้น

ขณะที่กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือ กบข.ได้เข้าร่วมสนับสนุนการจัดงาน โดยการประชาสัมพันธ์งานผ่านสมาชิกของ กบข. กว่า 1 ล้านราย และปีนี้เริ่มมีการจัดแพ็กเกจที่เหมาะสมกับ
กลุ่มเป้าหมายดังกล่าวมากขึ้นเช่นกัน

ส่วนกองทัพบกได้นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวในเขตทหาร เข้ามผนวกกับรายการท่องเที่ยวทั้ง 5 ภูมิภาค เพื่อให้คนไทยได้สัมผัสมิตคิของการท่องเที่ยวที่หลากหลายขึ้น ฯลฯ
นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มตัวแทนจากบริษัท หรือหน่วยงานต่างๆ ที่เข้ามารเพื่อศึกษารายละเอียดของงานเพื่อติดต่อซื้อขายรูปแบบการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลหรือการประชุมสัมมนา ซึ่งสามารถขยายเม็ดเงินไปได้อีกเป็นจำนวนมหาศาล

เที่ยวกับทัวร์ได้มากกว่าในราคาเบาๆ

นางสาวมัยรัตน์ กล่าวว่า กลุ่มเป้าหมายที่สำคัญของการจัดงาน “เที่ยวไทย สบายกระเป๋า”นอกเหนือจากากรต่อยอดงานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ในช่วงกลางปี ซึ่งมุ่งเน้นโชว์ศักยภาพของการท่องเที่ยว แต่งงานนี้จะเน้นการจำหน่ายสินค้าและบริการทางด้านการท่องเที่ยวในราคาคุ้มค่าเพื่อคนไทยโดยเฉพาะ อีกทั้งสนับสนุนให้ใช้บริการของบริษัทตัวแทนการท่องเที่ยวที่ได้มาตรฐาน ซึ่งสักกัดอยู่ในสมาคมต่างๆ โดยส่วนของ สทน.มีสมาชิกกว่า 430 ราย

เหตุผลสำคัญในการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านตัวแทนการท่องเที่ยวหรือบริษัท ทัวร์ เนื่องจากเล็งเห็นว่าสามารถบริหารค่าใช้จ่ายได้ถูกกว่าการเดินทางด้วยตัวเอง สามารถเลือกและออกแบบเส้นทางได้หลากหลาย มีการนำเสนอข้อมูลและรายละเอียดของแหล่งท่องเที่ยวที่มีประโยชน์ รวมทั้งยังเป็นการสร้างความยั่งยืนให้กับการท่องเที่ยว เนื่องจากตัวแทนการท่องเที่ยวจะมีมัคคุเทศก์ ซึ่งได้การอบรมและคอยดูแลสภาพแวดล้อมทางด้านการท่องเที่ยวให้คงอยู่ ลดปัญหาการบุกรุกหรือทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจจะเกิดจากนักท่องเที่ยวที่ไม่ทำตามข้อกำหนดหรือพลังเผลอโดยไม่ได้ตั้งใจ

นอกจากนั้งยังพบว่าการเดินทางท่องเที่ยว ผ่านตัวแทนบริษัทท่องเที่ยว มีการนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวตามรายทางซึ่งอาจถูกมองข้ามไป เนื่องจากการเดินทางด้วยตัวเองจะมุ่งตรงสู่เป้าหมายหลักเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยว มีการสรรหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพื่อสร้างความคุ้มค่าในการเดินทาง สร้างมุมมองใหม่ในการท่องเที่ยว และกระจายรายได้สู่ภาคการท่องเที่ยวระดับท้องถิ่นอีกด้วย


หนุนภาพเที่ยวไทยสดใสในปี 2555

จากการจัดงานดังกล่าว สทน.คาดว่าจะส่งผลต่อภาพของการท่องเที่ยวในประเทศ ที่กลับลมาสู่ภาวะปกติ 100 % เนื่องจากที่ผ่านมา ภาวะทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการชะลอการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว โดยตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นมา ภาวะทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญในการชะลอดการตัดสินใจของนักท่องเที่ยว โดยตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 เป็นต้นมา ภาพของการท่องเที่ยวภายในปรเทศเริ่มสนใจ จากภาวการณ์เมืองที่เข้าที่เข้าทาง และคนไทยก็เริ่มมีภาวะแห่งความสุข อีกทั้งเหมาะกับช่วงเวลาที่เข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว

งานดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนทางด้านการตลาดของ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ซึ่งได้ประกาศแผนการตลาดการท่องเที่ยว ประจำปี 2555 มุ่งยอดแคมเปญ “เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน เจาะตลาดในประเทศ ส่วนตลาดต่างประเทศยังคงใช้แคมเปญ Amazing Thailand พร้อมมุ่งรักษาคุณภาพทางการท่องเที่ยว และความประทับใจเป็นจุดแข็งที่เหนือคู่แข่ง

ทั้งนี้ ททท.ได้ประมาณจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสิ้นปี 2554 ไว้ที่ประมาณ 18-18.3 ล้านคน คิดเป็นรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 7 แสนล้านบาท ส่วนเป้าหมายที่ 2555 ททท.กำหนดเป้าหมายจำนวนรายไของตลาดต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 7.6 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 9 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวประมาณ 19.5 ล้านคน ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศ ททท.มีเป้าหมายขยายตัวเลขนักท่องเที่ยวในประเทศอีก 10-15 % ในปี 2555 หรือ 91 ล้านคนครั้ง

คอนเสิร์ตแจ๊สเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสพระชนมพรรษา 84 พรรษา และฉลองครบรอบ 15 ปี โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส

คอนเสิร์ตแจ๊สเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส  เสาร์ที่ 17 กันยายน 2554 โดยนางสาวปริม ปัญญาเสรีพร ผู้อำนวยการ สายงานการตลาดเพื่อการท่องเที่ยวและสันทนาการ “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ มร. คริสท็อฟ คนิเชล ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส มอบสิทธิพิเศษแก่สมาชิกบัตรที่ซื้อบัตรชม “คอนเสิร์ตแจ๊สเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ในวโรกาสพระชนมพรรษา 84 พรรษา และฉลองครบรอบ 15 ปี โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กับครั้งแรกในเมืองไทยของศิลปินแจ๊สชื่อดังระดับโลก นันจัม โรเซ่ นักร้องสาวชาวเนเธอร์แลนด์ และ นาตาเลีย คาลเดรอน นักร้องเสียงเจ้าเสน่ห์จากสเปน ซึ่งจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2554 ตั้งแต่เวลา 19.00 น. ณ ห้องจามจุรีบอลรูม ชั้นเอ็ม โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส โดยสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซี 20 ท่านแรกที่ซื้อบัตรคอนเสิร์ตราคา 1,500 บาท (รวมอาหารและเครื่องดื่มตลอดงาน) จะได้อัพเกรดที่นั่ง

ผู้สนใจจองบัตรได้ที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส โทรศัพท์ 0-2216-3700 ต่อ 20642-46 ตั้งแต่วันนี้ถึง 17 กันยายน 2554 รายได้ทั้งหมดโดยไม่หักค่าใช้จ่ายจะนำไปมอบแก่มูลนิธิเด็กโรคหัวใจ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์

ซู อควาเรียม จัดโชว์ มหัศจรรย์ดินแดนใต้น้ำ เริ่ม 1 ต.ค. 54

ในช่วงฤดูการท่องเที่ยว (Hight Season) ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ เชียงใหม่ ซู อควาเรียม เตรียมจัดโชว์สุดอลังการ เพื่อเป็นการคืนกำไรให้กับนักท่องเที่ยว และรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วงมหกรรมพืชสวนโลก 2011 ที่กำลังจะมาถึง

นายนฤทัตเจริญเศรษฐศิลป์ รองประธานกรรมการเชียงใหม่ ซู อควาเรียมเปิดเผยว่า ในช่วงไฮซีซั่นที่กำลังจะมาถึงคือตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมนี้ ทางเชียงใหม่ ซู อควาเรียมได้จัดโชว์ชุดพิเศษสุดอลังการ โชว์ระบำใต้น้ำ (The Synchronize Swimming) ซึ่งเราได้นำนักกีฬาระบำใต้น้ำระดับโอลิมปิก มาจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม ในชื่อชุดการแสดง “มหัศจรรย์ดินแดนใต้น้ำ” ซึ่งในครั้งนี้เราได้สร้างเรื่องราวของเจ้าหญิงใต้สมุทรมาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านสายน้ำภายในอุโมงค์ใต้น้ำที่มีความยาวที่สุดในโลก ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องสร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวที่ได้ชมอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม นายนฤทัตได้เปิดเผยอีกว่า ทางเชียงใหม่ ซู อควาเรียมยังเตรียมโครงการเพิ่มส่วนจัดแสดงนิทรรศการจำลองระบบนิเวศของป่าชายเลนและสัตว์น้ำที่สมบูรณ์แบบเป็นแห่งแรกในภาคเหนือ รวบรวมพันธุ์ไม้และสัตว์น้ำจากป่าชายเลนมาไว้ที่นี่ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อเปิดโอกาสทางการศึกษาแก่นักเรียน นักศึกษาที่อยู่ห่างไกลได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์จริง ซึ่งเราได้ย่นระยะทางกว่า 1,000 กม. จากเหนือไปสู่ใต้ ทำให้น้องๆ ไม่ต้องเดินทางไกลถึงทะเลจริง กิจกรรมที่กล่าวมา 2 โครงการนี้จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ ที่ 1 ตุลาคม 2554 นี้อย่างแน่นอน

Flower Show 2011 ครั้งที่ 25 โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ 29 กันยายน - 2 ตุลาคม 54

โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ เตรียมเนรมิตสวนดอกไม้งดงามอย่างอลังการไว้ให้คุณได้ชื่นชมกับงานแสดงดอกไม้ประจำปี ครั้งที่ 25 หรือ "Flower Show 2011" รับรองว่างานนี้คุณจะตื่นตาตื่นใจกับมหกรรมการแสดงดอกไม้สุดอลังการที่บานสะพรั่งทั่วทั้งโรงแรม

ที่สำคัญคุณยังสามารถมาค้นหาไอเดียการจัดแต่งดอกไม้และสวนที่บ้าน ซึ่งออกแบบโดยเหล่าดาราและเซเลบริตีชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นไอเดียตกแต่งตู้ปลา ดูดวงกับสุดยอดหมอดูแชมป์ประเทศไทย และช็อปปิ้งกับมหกรรมสินค้ามากมาย

ไฮไลต์ในงาน ถูกออกแบบอย่างเหมาะเจาะสำหรับการจูงมือครอบครัวหรือเพื่อนฝูงมาเที่ยวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ไฮไลต์เด็ดๆ ก็เช่น การเอาใจวัยรุ่นด้วยคอนเสิร์ตการกุศลสุดพิเศษของ 4 ศิลปินสุดฮอตจากเวทีเดอะสตาร์ 7 กับคอนเสิร์ต "เดอะสตาร์ 7" นำทีมเรียกเสียงกรี๊ดโดยตูมตาม-ยุทธนา นท แอมป์-สิริพงศ์ และซิลวี่-ภาวิดา แท็กทีมขนเพลงสุดฮิตพร้อมพลังเสียงคุณภาพระดับประเทศที่สร้างปรากฏการณ์ชนะใจคนไทยนับล้านมาแล้ว โดยทั้ง 4 คนจะมาผนึกกำลังจัดเต็มความสนุกในรูปแบบใกล้ชิดกว่าที่เคย

คอนเสิร์ตเปิดแสดงรอบเดียวเท่านั้นในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ เวลา 18.00 - 20.00 น. ณ เลิศวนาลัยบอลรูม โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ บัตรราคา 1,000, 1,500, 2,000 และพิเศษราคา 3,000 บาท สำหรับโอกาสถ่ายภาพคู่กับ 4 เดอะสตาร์

งานนี้นอกจากจะสนุกสนานแล้วยังจะอิ่มบุญอีกด้วย เพราะรายได้ทั้งหมด จะนำมอบเพื่อการกุศลแก่มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง "Wishing Well Foundation" เพื่อทำความฝันของเด็กๆที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งให้เป็นความจริง รวมทั้งอีกส่วนหนึ่งจะนำไปปลูกป่าชายเลนผืนใหม่ ที่ ต.คลองโคน จ.สมุทรสงคราม เริ่มจองบัตรวันที่ 3 กันยายนนี้ ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา
alt สำหรับคนที่ชอบด้านโหราศาสตร์ งานนี้เอาใจคุณเต็มๆ กับมหกรรมการพยากรณ์การกุศล โดยสุดยอดเซียนนักพยากรณ์คิวทองผู้ชนะการแข่งขัน "ศึกชิงจ้าวหมอดู" ประจำปี 2553 และ 2554 รวม 7 ท่าน ไม่ว่าจะเป็น ดาริฑกา ไพรสนฑ์ (อ.ต่าย ไพ่ทาโรต์), คณินพัทธุ์ เอี่ยมตระบุตร (อ.แบงค์ สเกทช์กรรม ขยำกระดาษ), วรางคณา อัชชะกิจ (อ.วั้ง พลังจิต จตุรธาตุ), ศุภชัย อนุที (อ.หนุ่ม หมอดูเทวดา), ปานชีวา ทิตาวีร์ (อ.เดียร์ Ms. Angel), อภิชาติ มะลิลา (อ.มดดำ ยิปซีคาราวาน) และปุญญชา ญาณปภัสสร (อ.อ้าย พลังกายทิพย์ สกัดกรรม) ได้ยกทีมขนศาสตร์การพยากรณ์ขั้นเทพมาทำนายดวงชะตาในงาน ตั้งแต่วันที่ 29 กันยายน -2 ตุลาคมนี้ เวลา 10.00 - 18.00 น. โดยบัตรพยากรณ์ราคา 1,000 บาทต่อครั้ง

พร้อมกันนี้ ยังมีการเปิดรับสมัครการแข่งขัน ประกวดสวนภายใต้แนวคิด "สีสันสวนสวย 25 ปีงานดอกไม้" สำหรับนักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไป ซึ่งจะแข่งขันในวันที่ 28 กันยายน 2554 เวลา 09.00 - 18.00 น. ผู้ชนะจะได้เข้าประทานรับถ้วยรางวัลจาก พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ โดยเริ่มเปิดรับสมัครผู้เข้าแข่งขันตั้งแต่วันนี้-15 กันยายนนี้
ไม่เพียงเท่านี้ สำหรับคนที่เลี้ยงน้องหมาล่ะก็ พาเจ้าสัตว์เลี้ยงตัวน้อยมาประกวดแฟชั่นชุดแต่งกายสุนัขคู่เจ้าของในคอนเซ็ปต์โมเดิร์นกัน ให้คุณบรรเจิดไอเดียแต่งตัวให้น้องหมาแสนรักและตัวคุณ แล้วมาวาดลวดลายซุป'ตาร์แฝดเหมือนในคอนเซ็ปต์ "คู่ซี้ต่างไซส์สไตล์โมเดิร์น" บนแคตวอล์กแฟชั่นที่น่ารักที่สุดในวันที่ 2 ตุลาคมนี้ เวลา 10.00 - 17.00 น. ณ ห้องเลิศวนาลัยบอลรูม ชิงถ้วยประทานจากพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา

ทั้งนี้ยังจะได้พบกับตลาดนัดคนรักสุนัขพร้อมสินค้าและบริการต่างๆมากมายเพื่อเพื่อนซี้สี่ขา อย่าลืมพาน้องหมาแสนรู้มาสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนใหม่เพื่อเสริมสร้างพัฒนาการทางอารมณ์ พร้อมเดินเล่นสูดอากาศบริสุทธิ์ และถ่ายภาพประทับใจของคุณกับน้องหมาคู่ซี้ในบรรยากาศสวนสวยเขียวขจีล่ะ โดยบัตรเข้าชมการประกวดแฟชั่นชุดแต่งกายสุนัขคู่เจ้าของ ราคา 200 บาทต่อท่าน

นอกจากนี้ ยังมีการ "ประกวดสุดยอดปลาหมอสีและตกแต่งตู้ปลา" โดยเปิดรับสมัครผู้ร่วมแข่งขัน ตั้งแต่วันนี้-28 กันยายนนี้ และการประกวดจะมีขึ้นในวันที่ 29 กันยายน 2554 โดยมีค่าสมัครประกวดปลาหมอสีตัวละ 1,000 บาท เพื่อชิงถ้วยประทานจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ
การมาเที่ยวงานดอกไม้ประจำปีนี้ นอกจากคุณจะเพลิดเพลินแล้วยังจะสุขใจด้วย เพราะรายได้จากการจัดงาน รวมถึงรายได้จากบัตรเข้าชมงานต่างๆ จะมอบให้แก่มูลนิธิสายธารแห่งความหวัง เพื่อช่วยเหลือด้านคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็ง และส่วนหนึ่งจะนำไปปลูกป่าชายเลนผืนใหม่ให้แก่แผ่นดินไทย เพื่อช่วยลดการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและเพิ่มแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ ที่ ต.คลองโคน จ.สมุทรสงคราม สนใจชมมหกรรมการแสดงดอกไม้การกุศลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ได้ในวันที่ 29 กันยายน-2 ตุลาคมนี้ ตั้งแต่เวลา 10.00 - 20.00 น. สนใจแวะไปชมกันได้ที่โรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,668 8-10 กันยายน พ.ศ. 2554

Subaru Impreza Challenge Thailand 2011 วันที่17 กันยายน2554 @เซ็นทรััลเวิลด์

“Subaru Impreza Challenge Thailand 2011 - แตะรถ ชิงรถ บันลือโลก” โดย บริษัท มอเตอร์ อิมเมจ ซูบารุ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ซูบารุอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย เพื่อค้นหา 10 คนแกร่ง หัวใจอึด เป็นตัวแทนประเทศไทยเดินทางไปแข่งขันในรายการ The MediaCorp Subaru Impreza Challenge 2011 – The Asian Face-off ที่ประเทศสิงคโปร์ ชิงรางวัลใหญ่รถยนต์ Subaru Impreza WRX 2.5 sedan มูลค่า 2.4 ล้านบาท ในวันเสาร์ที่ 17 กันยายน 2554 เวลา 9.00 – 20.00 น. ณ ลานกิจกรรม Square B ด้านหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ อย่าลืมมาเชียร์แบบติดขอบสนาม หรือ ส่งกำลังใจมาให้ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 320 คน

งานแข่งเรือประเพณีจังหวัดน่าน "ชิงถ้วยพระราชทานฯ" ปลอดเหล้า - เบียร์ ประจำปี ๒๕๕๔

งานแข่งเรือประเพณีจังหวัดน่าน "ชิงถ้วยพระราชทานฯ" ปลอดเหล้า - เบียร์ ประจำปี ๒๕๕๔  ประเพณีแข่งเรือเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมานานต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๙ ได้จัดให้มีการแข่งเรือทอดกฐินสามัคคีสืบทอดมาจนถึงงานทอดกฐินพระราชทานในปัจจุบัน ราวกลางเดือนตุลาคม หรือต้นเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี โดยถือเอาวันเปิดสนามแข่งเรือตามวันถวายสลากภัตของวัดช้างค่ำวรวิหารซึ่งเป็นวัดหลวง จะจัดงานวายภัตก่อน งานแข่งเรือประเพณีจังหวัดน่านจึงเป็นประเพณีคู่กับตานก๋วยสลากของวัดช้างค่ำมาจนถึงทุกวันนี้ ภายหลังทางจังหวัดได้ผนวกงานสมโภชงาช้างดำอันเป็นสมบัติล่ำค่าคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดน่านเข้าไปด้วย นอกจากนั้นยังมีงานแข่งเรือที่อำเภอเวียงสาในเทศกาลตานก๋วยสลาก

เรือที่เข้าแข่งแต่ละลำใช้ไม้ซุงใหญ่ ๆ เอามาขุดเป็นเรือ เอกลักษณ์โดดเด่นของเรือแข่งเมืองน่าน คือ ที่หัวเรือแกะเป็นรูปพญานาคชูคอสง่างามหางเรือเป็นหางพญานาคงอนสูง ด้วยคนเมืองน่านเชื่อว่าบรรพบุรุษของตน คือ เจ้าขุนนุ่น ขุนฟอง เกิดจากไข่พญานาคเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ การต่อเรือแข่งเป็นรูปพญานาคจึงถือเป็นการบูชาบุญคุณพญานาคผู้เป็นเจ้าแห่งน้ำและบรรพบุรุษของชาวเมืองน่าน

ประเภทการแข่งขัน มีทั้งเรือใหญ่ เรือกลาง และเรือเล็ก รวมทั้งประเภทสวยงาม นอกจากนี้ยังมีการประกวดกองเชียร์อีกด้วย และหากมาช่วงซ้อมก่อนการแข่งขัน ตอนเย็น ๆ จะเห็นชาวบ้าน นักเรียนจับกลุ่มอยู่ริมน้ำเพื่อมาดูการซ้อมเรือ เชียร์ทีมเรือและฝีพายที่เป็นคนท้องถิ่นเป็นวิถีชีวิตที่มีสีสัน และ เป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ นับเป็นประเพณีที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

กิจกรรม

ด้วยเทศบาลเมืองน่าน จะได้จัดงานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน (นัดเปิดสนาม) “ชิงถ้วยพระราชทานฯ” ปลอดเหล้า - เบียร์ ประจำปี ๒๕๕๔ ขึ้นในวันที่ ๑๗ - ๑๘ กันยายน ๒๕๕๔ ณ บริเวณแม่น้ำน่าน (เชิงสะพานพัฒนาภาคเหนือ) เพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมประเพณีอันดีงามของชาวจังหวัดน่านและล้านนาไทยให้สืบทอดต่อไป รวมถึง เป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดน่าน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

๑. ประเภทเรือแข่ง แบ่งเป็น ๓ ประเภท

๑.๑ ประเภทเรือใหญ่ ฝีพายตั้งแต่ ๔๘ - ๕๕ คน (สำรอง จำนวน ๑๕ คน)

ยกเว้นเรือเลิศเกียรติศักดิ์ ศรีพันต้น

๑.๒ ประเภทเรือกลาง ฝีพายตั้งแต่ ๓๕ - ๔๐ คน (สำรอง จำนวน ๑๕ คน)

๑.๓ ประเภทเรือเล็ก ฝีพายตั้งแต่ ๒๕ - ๓๐ คน (สำรอง จำนวน ๑๐ คน)

๒. ระเบียบการทั่วไป

๒.๑ จำกัดให้ชุมชนหรือหมู่บ้านต่างๆ สามารถส่งเรือเข้าร่วมการแข่งขันได้จำนวน ๒ ลำ และสามารถใช้ฝีพายลงทำการแข่งขันได้ทั้ง ๒ ลำ เฉพาะหมู่บ้านของตนเองเท่านั้น

๒.๒ เรือที่สมัครเข้าแข่งขัน จะต้องมีความพร้อม กรณีมีการ Bye จะต้องแจ้งให้คณะกรรมการ พร้อมกับลงลายมือชื่อในหนังสือยินยอมฯ ทุกครั้ง และเรือที่ได้สิทธิ์ Bye แล้ว ห้ามพาย ลงมาลำเดียวโดยเด็ดขาด

๒.๓ หมู่บ้านต่างๆ ที่ทำการซ่อมบำรุงเรือที่ทำให้รูปลักษณ์เรือเปลี่ยนไปหรือซื้อเรือใหม่จะต้องแจ้ง หรือขอจดทะเบียนเรือ ต่อเจ้าหน้าที่กองการศึกษา ภายในวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ กองการศึกษา เทศบาลเมืองน่าน เท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ลงทำการแข่งขันได้ และหลังจากนี้แล้วไม่สามารถดำเนินการดังกล่าวได้

๓. กำหนดการรับสมัคร

๓.๑ วันรับสมัครตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (จนถึงวันจันทร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๔

เวลา ๐๘.๓๐น. – ๑๖.๓๐ น. (เว้นวันหยุดราชการ) และส่งใบสมัคร พร้อมบัญชีรายชื่อ

ฝีพายเรือแข่งเท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ลงทำการแข่งขัน)

๓.๒ สถานที่รับสมัคร กองการศึกษา เทศบาลเมืองน่าน (เว้นวันหยุดราชการ)

หลักฐานการรับสมัคร (บัญชีรายชื่อฝีพายเรือแข่ง, ทะเบียนรูปเล่มแข่งเรือ ลำละ ๑ เล่ม

ประกอบด้วย รูปถ่าย ๑ นิ้ว สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน)

รูปถ่ายตัวแทนเรือแข่งประจำจุด (จุดตรวจสอบฯ-จุดตัดสิน-จุดกองอำนวยการ)

คนละ ๑ รูป ส่งภายในวันจันทร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๔ มิฉะนั้นจะไม่มีสิทธิ์

ลงทำการแข่งขัน

๓.๓ วันรับสูจิบัตร วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๔ ณ กองการศึกษา เทศบาลเมือง

น่าน พร้อมรับบัตรตัวแทนเรือแข่งประจำจุดต่างๆ ธงประจำเรือแข่งและเงินสนับสนุน

เรือแข่งครึ่งหนึ่ง

๔. การจับสลากแบ่งสาย

๔.๑ เรือที่มีสิทธิ์จับสลากแบ่งสาย ได้แก่เรือที่ได้ยื่นใบสมัครต่อเจ้าหน้าที่กองการศึกษา

เทศบาลเมืองน่าน พร้อมกับบัญชีรายชื่อฝีพายเรือแข่งและทะเบียนรูปเล่มเรือแข่งเท่านั้น

๔.๒ กำหนดการจับสลากแบ่งสาย ในวันพุธที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๙.๐๐ น.

ณ ห้องประชุมเทศบาลเมืองน่าน

๔.๓ เรือที่ได้จับสลากแบ่งสายตามข้อ ๓.๒ แล้วเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์เข้าแข่งขันและได้รับ

รางวัลเงินค่าอาหารฝีพายเรือแข่ง และเงินสนับสนุน ตามประกาศของเทศบาลเมืองน่าน

๕. รางวัลเรือแข่ง และเงินสนับสนุนเรือแข่ง

๕.๑ ประเภทเรือใหญ่

รางวัลที่ ๑ เงินสด ๘,๐๐๐ บาท พร้อมถ้วยพระราชทานฯ ของสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีและธงสัญลักษณ์

รางวัลที่ ๒ เงินสด ๗,๐๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

รางวัลที่ ๓ เงินสด ๖,๐๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

รางวัลที่ ๔ เงินสด ๕,๐๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

รางวัลที่ ๕ เงินสด ๓,๐๐๐ บาท จำนวน ๔ รางวัล พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

- ประเภทเรือใหญ่ทุกลำที่เข้าแข่งขัน จะได้รับเงินสนับสนุน ลำละ ๓,๐๐๐ บาท

(เมื่อส่งฝีพาย ๕ คน (แต่งชุดพร้อมไม้พาย) เข้าร่วมเดินพาเหรดอัญเชิญถ้วยพระราชทานฯ ในวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๗.๐๐ น. นำเรือเข้าร่วมในพิธีเปิดฯ ณ หน้ากองอำนวยการ และเข้าร่วมการแข่งขันฯ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี (ไม่หยุดพายขณะแข่งขันและก่อนเข้าเส้นชัย) จึงจะได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มอีก ๓,๐๐๐ บ.

๕.๒ ประเภทเรือกลาง

รางวัลที่ ๑ เงินสด ๗,๐๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลประทานฯ ของพระองค์เจ้า

โสมสวลีพระวรราชาทินัดดามาตุ และธงสัญลักษณ์

รางวัลที่ ๒ เงินสด ๖,๐๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

รางวัลที่ ๓ เงินสด ๕,๕๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

รางวัลที่ ๔ เงินสด ๕,๐๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

รางวัลที่ ๕ เงินสด ๒,๕๐๐ บาท จำนวน ๔ รางวัล พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

- ประเภทเรือกลางทุกลำที่เข้าแข่งขัน จะได้รับเงินสนับสนุน ลำละ ๒,๗๕๐ บาท

(เมื่อส่งฝีพาย ๕ คน (แต่งชุดพร้อมไม้พาย) เข้าร่วมเดินพาเหรดอัญเชิญถ้วยพระราชทานฯ ในวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๗.๐๐ น. นำเรือเข้าร่วมในพิธีเปิดฯ ณ หน้ากองอำนวยการ และเข้าร่วมการแข่งขันฯ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี (ไม่หยุดพายขณะแข่งขันและก่อนเข้าเส้นชัย) จึงจะได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มอีก ๒,๗๕๐ บาท

๕.๓ ประเภทเรือเล็ก

รางวัลที่ ๑ เงินสด ๖,๐๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลประทานฯ ของพระเจ้าหลานเธอ

พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา และธงสัญลักษณ์

รางวัลที่ ๒ เงินสด ๕,๕๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

รางวัลที่ ๓ เงินสด ๕,๐๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

รางวัลที่ ๔ เงินสด ๔,๕๐๐ บาท พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

รางวัลที่ ๕ เงินสด ๒,๐๐๐ บาท จำนวน ๔ รางวัล พร้อมถ้วยรางวัลเกียรติยศ

- ประเภทเรือเล็กทุกลำที่เข้าแข่งขัน จะได้รับเงินสนับสนุน ลำละ ๒,๕๐๐ บาท

(เมื่อส่งฝีพาย ๕ คน (แต่งชุดพร้อมไม้พาย) เข้าร่วมเดินพาเหรดอัญเชิญถ้วยพระราชทานฯ ในวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๐๗.๐๐ น. นำเรือเข้าร่วมในพิธีเปิดฯ ณ หน้ากองอำนวยการ และเข้าร่วมการแข่งขันฯ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี (ไม่หยุดพายขณะแข่งขันและก่อนเข้าเส้นชัย) จึงจะได้รับเงินสนับสนุนเพิ่มอีก ๒,๕๐๐ บาท

๖. ค่าชักลากจูง

๖.๑ เรือแข่งบ้านผาขวาง ลำละ ๓,๐๐๐ บาท

๖.๒ เรือแข่งอำเภอท่าวังผา ลำละ ๓,๕๐๐ บาท

๖.๓ เรือแข่งอำเภอปัว ลำละ ๔,๕๐๐ บาท

๖.๔ เรือแข่งอำเภอเวียงสา ลำละ ๓,๐๐๐ บาท

๖.๕ เรือแข่งบ้านน้ำครกใหม่-พุฒิมาราม-ดอนน้ำครก-บ้านน้ำครกเก่า-ธงหลวง-น้ำลัด ลำละ ๒,๕๐๐ บาท

๖.๖ เรือแข่งบ้านหาดผาขน ลำละ ๒,๕๐๐ บาท

๖.๗ เรือแข่งบ้านน้ำเกี๋ยน ลำละ ๑,๕๐๐ บาท

๖.๘ เรือแข่งบ้านน้ำมวบ ลำละ ๕,๐๐๐ บาท

๖.๙ เรือแข่งบ้านไฮหลวง อ.เชียงกลาง ลำละ ๕,๐๐๐ บาท

๗. ค่าสนับสนุนอาหารฝีพายเรือแข่ง (เฉพาะเรือที่ลงทำการแข่งขันในวันแรกและวันที่สอง)

๗.๑ ค่าอาหารฝีพายเรือใหญ่ ลำละ ๓,๕๐๐ บาท

๗.๒ ค่าอาหารฝีพายเรือกลาง ลำละ ๒,๗๕๐ บาท

๗.๓ ค่าอาหารฝีพายเรือเล็ก ลำละ ๒,๐๐๐ บาท

ปฏิทินแข่งเรือจังหวัดน่าน ปี ๒๕๕๔


จำนวน ๘ สนาม ดังนี้

สนามที่ ๑ "เทศกาลแข่งเรือ" นัดเปิดสนาม อำเภอท่าวังผา วันอาทิตย์ ที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๔ จัดโดยชมรมเรือแข่งอำเภอท่าวังผาและ สสส.

สนามที่ ๒ ประเพณีแข่งเรือ นัดเปิดสนาม "ชิงถ้วยพระราชทาน" วันที่ ๑๗ - ๑๘ กันยายน ๒๕๕๔

สนามที่ ๓ ประเพณีแข่งเรืออำเภอท่าวังผา "ชิงถ้วยพระราชทาน"วันที่ ๒๔ - ๒๕ กันยายน ๒๕๕๔

สนามที่ ๔ ประเพณีแข่งเรือบ้านเจดีย์ ต.ดู่ใต้ วันที่ ๑ - ๒ ตุลาคม ๒๕๕๔

สนามที่ ๕ ประเพณีแข่งเรืออำเภอเวียงสา นัดออกพรรษา ทานสลากภัตวัดบุญยืน "ชิงถ้วยพระราชทาน" วันที่ ๑๑ - ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๔

สนามที่ ๖ ประเพณีแข่งเรือตักบาตรเทโวโรหณะ วัดศิลามงคล อ.ท่าวังผา วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๔

สนามที่ ๗ ประเพณีแข่งเรือเยาวชน ชิงถ้วยพระราชทาน" วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๔

สนามที่ ๘ งานประเพณีแข่งเรือจังหวัดน่าน นัดปิดสนาม "ชิงถ้วยพระราชทาน" วันที่ ๔ - ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔

ข้อมูลเพิ่มเติม:

เทศบาลเมืองน่าน โทร. +๖๖ ๕๔๗๑ ๐๒๓๔ ต่อ ๑๓๘ - ๑๓๙

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานแพร่ (แพร่ น่าน อุตรดิตถ์) โทร. +๖๖ ๕๔๕๒ ๑๑๑๘ - ๙, +๖๖ ๕๔๕๒ ๑๑๒๗

www.nanlongboat.com

** กำหนดการจัดงานอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดตรวจสอบข้อมูลอีกครั้งก่อนเดินทาง **

5 ไฮไลท์ พัทยา บัตรเที่ยว พัทยา ครึกครื้น #2

โรงละครไทย “อลังการ” พัทยา ผนึกกำลังร่วมกับ อัลคาซาร์ คาบาเร่ต์ มายากลทักซิโด้ สวนเสื้อศรีราชา และ พัทยา ดอลฟิน เวิลด์ ออกบัตรเที่ยวพัทยาครึกครื้น #2 ในราคา 999 บาท ราคาเดียวเที่ยวได้ 5 ที่ จำหน่ายบัตรตั้งแต่บัดนี้ที่ ไทยทิคเก็ต เมเจอร์ 02 – 262 – 3456 และ เคทีซีทัช 02 – 665 – 5530

บัตรดังกล่าวนี้ มีมูลค่าเต็ม 2,500 บาท แต่จำหน่ายเพียงราคา 999 บาท สามารถใช้สิทธิได้ในสถานที่ท่องเที่ยวทั้ง 5 แห่งที่ร่วมโครงการ โดยสามารถนำบัตรเข้าชม
- การแสดงอัลคาซาร์
- การแสดงโรงละครไทย “อลังการ” ชมมายากลทักซิโด้
- เที่ยวชมสวนเสือศรีราชา
- ชมการแสดงโลมาแสนรู้ที่พัทยา ดอลฟิน เวิลด์ พร้อมปีนหน้าผาจำลอง พิเศษ รับฟรีคูปองส่วนลดจาดอันเดอร์วอเตอร์ เวิลด์ อุทยานหินล้านปีและฟาร์มจระเข้พัทยา เอราวัณสปา วิมานใต้ทะเล
- ร้านอาหารสุดทางรักพัทยา

สิ้นสุดโครงการ 31 ธันวาคม 2554

ข้อมูลโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สำนักงานใหญ่)
1600 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ : 0 2250 5500
ศูนย์บริการข่าวสารการท่องเที่ยว ททท. 1672

ททท.นำเสนอเส้นทางบุญไหว้พระ 9 วัด จังหวัดหนองบัวลำภู

เส้นทางบุญไหว้พระ9วัด จังหวัดหนองบัวลำภู



1.ปโมทิตเจดีย์ วัดป่าศรีสว่าง เป็นเจดีย์ 3 ชั้น มีขนาดกว้าง 20 เมตร ความยาว 42 เมตร ความสูง 35 เมตร อยู่ที่วัดป่าศรีสว่าง ตำบลบ้านขาม อำเภอเมือง จ.หนองบัวลำภูประกอบด้วยชั้นที่ 1 เป็นศาลาปฏิบัติธรรมและห้องประชุม ชั้นที่ 2 เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ของหลวงปู่หลอด ปโมทิโต ชั้นที่ 3 เป็นที่ประดิษฐาน พระบรมสาริกธาตุ เปิดให้ผู้สนใจเข้าชมทุกวัน เวลา 09.00-16.00 น.

2. พระบาง วัดมหาชัย เป็นพระพุทธรูปปาง ห้ามญาติ จำนวนหนึ่งคู่ หล่อด้วยทองสีดอกบวบ มีอักษรจารึกอยู่ที่ฐานเป็นภาษาขอม หรือ "อักษรธรรม" และยังมีหอไตรกลางน้ำ เพื่อเก็บรักษาพระไตรปิฏกคัมภีร์ใบลาน หนังสือหรือเอกสารธรรมะต่างๆ ติดต่อกับฝั่งโดยใช้สะพานชักเพื่อมิให้มีสิ่งเชื่อมต่อระหว่างฝั่งกับหอไตร

3. พระราชศรีสุมังค์หายโศก(หลวงพ่อศรีวิชัย หรือ พระเจ้าใหญ่) วัดโพธิ์ศรี อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู พระราชศรีสุมังค์หายโศก เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง พุทธลักษณะปางมารวิชัย ขัดสมาธิ สามารถแสดงปาฏิหาริย์ช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบกับ ความเดือดร้อน มีทุกข์มีโศก หรือที่มาขอบนบาน จนหายทุกข์หายโศกตามที่ขอบนไว้อย่างน่าอัศจรรย์

4. วัดศรีคูณเมืองเดิมชื่อ วัดคนชุมน้ำออกบ่อ ตั้งอยู่ที่บ้านเหนือ ถนนวรราชภักดี หมู่ที่ 5 ตำบลลำภู อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู สร้างเมื่อ ปี พ.ศ. 2310 สมัยขอม ละว้า และลาว มีซากอุโบสถเก่าแก่ มีใบเสมาเป็นภูเขา ปูชนียวัตถุมีพระพุทธรูปอยู่ในสถูปเรียกว่า "หลวงพ่อพระไชยเชษฐา" และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ก่อด้วยอิฐ มีน้ำใสสะอาดตลอดปี สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พ.ศ. ๒๑๐๖ ถือว่าเป็นบ่อน้ำคู่น้ำคู่ใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น

5. วัดถ้ำกลองเพล เดิมป็นวัดร้างไม่มีพระภิกษุสามเณรจำพรรษา จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2501 พระอาจารย์หลวงปู่ขาว อนาลโย ได้อาศัยวัดแห่งนี้เป็นสถานที่วิปัสสนากรรมฐาน ภายในวัดมีลานหินน้อยใหญ่ พิพิธภัณฑ์อัฐบริขารหลวงปู่ขาว อนาลโย กุฏิเก่าของหลวงปู่ขาว พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่ขาว และเจดีย์หลวงปู่ขาว

6. วัดถ้ำสุวรรณคูหา สร้างเมื่อ พ.ศ ๒๖๕๗ เดิมเป็นวัดร้างโบราณตามหลักศิลาจารึก สร้างเมื่อพุทธศักราช ๙๓๒ พระไชยเชษฐธิราช กษัตริย์ประเทศลาวเป็นผู้สร้าง วัดถ้ำสุวรรณคูหามีหลักศิลาจารึกสองหลัก หัวช้างศิลาทรายแกะสลักรองเชิงเขา พระพุทธรูปนาคปรกปางสมาธิ พระพุทธรูปไม้ และพระพุทธรูปศิลาพระประธาน เป็นรูปทรงนาคปรก ๗ เศียร ปางมุจลินทร์ เป็นศิลปะสมัยล้านช้าง

7.วัดถ้ำเอราวัณ อ.นาวัง จังหวัดหนองบัวลำภู ถ้ำเอราวัณ มีลักษณะเป็นเหมือนห้องโถง มีหินงอกหินย้อย ภูเขาหินสีขาว ตั้งอยู่บนหน้าผา มองดูจะมีลักษณะคล้ายๆ กับรูปผู้หญิงยืน ชาวบ้านจะเรียกกันว่า ผานาง นอกจากนี้ ยังมีทางที่สามารถทะลุ ออกทางหน้าผา สามารถมองเห็น ทัศนียภาพของท้องทุ่ง ซึ่งเป็นบรรยากาศ ที่มีความสวยงาม และเป็นธรรมชาติอย่างมาก

8. วัดทรงธรรมบรรพต มีคำขวัญว่า “ดินแดนแห่งตอไม้ใหญ่ สดใสด้วยพุทธรรม เลิศล้ำด้วยหินเป็ด 800 ล้านปี ประเพณีบุญคูนลาน หมู่บ้านส่งเสริมวัฒนธรรมอีสาน” ไหว้พระแก้วศักดิ์สิทธิ์ในอุโบสถ และฟังธรรมโอวาทจากพระคุณเจ้า เยี่ยมชมศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนตำบลวังทอง กลุ่มและภูมิปัญญาท้องถิ่นคนอีสานภายในชุมชน

9. เจดีย์วัดป่าภูฝางสันติธรรม เป็นเจดีย์ตั้งอยู่บนภูเขาภูฝาง บริเวณวัดป่าภูฝางสันติธรรม มีบันไดทางขึ้นสะดวก เป็นที่ปฏิบัติธรรมและท่องเที่ยวทางศาสนาและวัฒนธรรม

ข้อมูลโดย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สำนักงานใหญ่)
1600 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400 โทรศัพท์ : 0 2250 5500
ศูนย์บริการข่าวสารการท่องเที่ยว ททท. 1672
prdiv@tat.or.th

ไทยติดอันดับแท็กซี่เมือง ท่องเที่ยว ที่ดีที่สุดในโลก 10 อันดับ

เป็นนักท่องเที่ยวนี่จะไปไหนมาไหนบางทีก็ลำบากเหมือนกัน แหม...ใช้บริการของขนส่งสาธารณะบางครั้งก็ต้องต่อรถวุ่นวาย คนต่างถิ่นไม่ชำนาญทางอาจหลงเอาได้ง่าย ๆ เพราะฉะนั้น "แท็กซี่" (Taxi) จึงกลายเป็นตัวเลือกชั้นเยี่ยมสำหรับเหล่านักท่องเที่ยว แค่โบกแล้วจิ้มแผนที่ให้ดู เท่านี้ก็เรียบร้อย ^^

ทำให้เมื่อเร็ว ๆ นี้ทาง โฮเทลดอทคอม เว็บไซต์ที่รวบรวมแหล่งที่พักทั่วโลก ได้ทำการสำรวจกับบรรดานักท่องเที่ยวกว่า 5,000 ราย จาก 23 ประเทศทั่วโลก เพื่อโหวตหาแท็กซี่เมืองท่องเที่ยวที่ดีที่สุดในโลก ผลปรากฎว่าเมืองลอนดอน จากอังกฤษ คว้าที่หนึ่งไปครองได้สบาย ๆ (แต่ก็กินขาดเรื่องค่าโดยสารแพงที่สุดด้วย) โดยได้คะแนนโหวตนำลิ่วในเรื่องความปลอดภัย, การบริการ, ความสะอาด, การขับรถสุภาพ และความรู้เรื่องท้องที่

ในขณะที่แท็กซี่รวมถึงตุ๊กตุ๊กจากกรุงเทพมหานครของเรา ก็ติดท็อปเท็นอยู่ในอันดับที่หกเหมือนกันนะ ถึงแม้จะโดนสิงค์โปร์เบียดตกลงมาจากปีที่แล้วอยู่หนึ่งอันดับก็ตาม

ส่วนเมืองที่ถูกโหวตให้เป็นเมืองแท็กซี่ยอดเยี่ยม 10 อันดับแรก จะเป็นที่ไหนกันบ้างไปดูกันเลย…

1. ลอนดอน ประเทศอังกฤษ (28%)
2. นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (9%)
3. ฮ่องกง ประเทศจีน (7%)
4. โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น (7%)
5. สิงคโปร์ (6%)
6. กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย (6%)
7. เบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี (4%)
8. เฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ (4%)
9. ดับลิน ประเทศไอร์แลนด์ (4%)
10. แมดริด ประเทศสเปน (4%)

แปลและเรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลจาก AFP: Relax News
http://travel.kapook.com/view31039.html

เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋า ครั้งที่ 3 วันที่ 15 - 18 กันยายน 54 @ศูนย์ประชุมฯสิริกิติ์

เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋า ครั้งที่ 3 วันที่ 15 - 18 กันยายน  2011เวลา 10.00 - 21.00 น.

จากความสำเร็จอย่างท่วมท้นจากการจัดงานในครั้งที่ผ่านมา สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.) ได้รับการสนับสนุนจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดงาน “เที่ยวเมืองไทย สบายกระเป๋า ครั้งที่ 3”  การจัดงานในครั้งนี้เพื่อให้นักเดินทางได้จดจำฤดูกาลแห่งการท่องเที่ยวและหันมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวซื้อบริการจากผู้ประกอบการโดยตรง ภายในงานพบแพ็คเกจที่พักและรายการทัวร์เส้นทางต่างๆ ราคาพิเศษ สินค้าท่องเที่ยวใน 5 ภูมิภาค บริการจากผู้ประกอบการธุรกิจด้านการท่องเที่ยวทุกแขนง อาทิ บริษัททัวร์ รถ-เรือเช่า สายการบิน ที่พัก โรงแรม สมาคมท่องเที่ยว ฯลฯ

รีโนเวต โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ทุ่ม200ล้าน

"แอมบาสซาเดอร์" ทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท กางแผนรีโนเวตโรงแรม ทยอยปรับปรุงตั้งแต่ปีนี้ต่อเนื่องถึงปีหน้า โดยจะสร้างจุดขายใหม่ของห้องพักแบบการ์เด้นสวีต สไตล์เจแปนนิสจากุชชี่ในสวนแห่งแรกในกรุงเทพฯทั้งเปิดตัวห้องอาหารใหม่สไตล์นิวออร์ลีนปลายปีนี้ ทั้งปรับห้องสแตนดาร์ดเป็นแฟมิลี่ สวีต ช่วงกลางปีหน้า ตั้งเป้าโกยรายได้กว่า 460 ล้านบาท

นายมาร์เซล ซอร์เยอร์ ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในขณะนี้แอมบาสซาเดอร์ กำลังอยู่ระหว่างการปรับปรุง(รีโนเวต)โรงแรมในหลายส่วน โดยในช่วงปลายปีนี้ มีแผนจะปิดบริเวณชั้น 4 ในส่วนของทาวเวอร์วิง ในช่วงปลายปีนี้ เพื่อทำการปรับปรุง
(รีโนเวต)ห้องพักใหม่ ให้เป็นห้องการ์เด้น สวีต จำนวน 9 ห้อง โดยเป็นห้องพักพร้อมสวนมี 1 และ 2 ห้องนอน ทั้งจะมีเจแปนนิสจากุชชี่ในสวน ซึ่งเป็นที่แรกในกรุงเทพฯ พร้อมกันนี้ยังมีแผนรีโนเวตส่วนฟิตเนสให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงสปา ซึ่งจะย้ายมาอยู่กลางสวนในรูปแบบเชนสไตล์ ตลอดจนเตรียมสร้างห้องอาหารใหม่ให้เป็นแบบนิวออร์ลีนสไตล์ ภายใต้งบลงทุนราว 100 ล้านบาท
ประกอบกับในช่วงกลางปี 2555 ยังมีแผนรีโนเวตห้องพักแบบสแตนดาร์ดในส่วนของอาคารเมนวิงเป็นห้องแฟมิลี่ สวีต จำนวน 30 ห้อง ใช้งบในส่วนนี้อีกราว 90 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการปรับปรุงต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้ใช้งบราว 300 ล้านบาทในการรีโนเวตห้องพัก ห้องอาหารต่างๆ ในโรงแรม ทางเข้าโรงแรม และล็อบบี้ไปแล้ว ซึ่งการที่ต้องปรับปรุงโรงแรมใหม่นั้น เนื่องจากตึกเมนวิงมีอายุราว 45 ปี และทาวเวอร์วิงมีอายุราว 40 ปี ดังนั้นจึงต้องมีการอัพเดตโปรดักต์อยู่เสมอ
มาร์เซล ซอร์เยอร์มาร์เซล ซอร์เยอร์ ขณะที่จุดเด่นของแอมบาสซาเดอร์ อยู่ที่การเป็นโรงแรมที่ไม่ได้บริหารโดยเชน ทำให้สามารถควบคุมได้ดีกว่าโรงแรมที่ใช้เชนบริหาร และจะมีอำนาจการตัดสินใจที่ง่ายกว่า รวมถึงด้านราคาโรงแรมที่บริหารเองจะสามารถกำหนดราคาได้เอง รวมถึงแอมบาสซาเดอร์ยังเป็นโรงแรมชั้นนำที่มีชื่อเสียง และยังเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่มีตำนาน รวมถึงการอยู่ในโลเกชันที่เป็นศูนย์กลาง ใกล้แหล่งช็อปปิ้งและศูนย์ประชุม

อีกทั้งแอมบาสซาเดอร์ ยังมีตำแหน่งเป็นไมซ์โฮเต็ลหรือโรงแรมสำหรับการประชุมและสัมมนา สำหรับคนไทยจากทั่วประเทศ เพราะมีห้องพักรองรับมากถึง 760 ห้อง มีห้องคอนเวนชันรองรับได้กว่า 2,000 คน แบ่งเป็นสัดส่วนของลูกค้ากลุ่มไมซ์ราว 40% กลุ่มนักท่องเที่ยวพักผ่อนที่เดินทางด้วยตนเองหรือเอฟไอทีเลเชอร์ราว 45% และกลุ่มคอร์ปอเรตราว 15% ที่มาจากตลาดเอเชียราว 90% และ 10% เป็นกลุ่มยุโรปตะวันตก และขณะนี้จะเน้นการขยายสู่ตลาดยุโรปมากขึ้นสำหรับงานคอนเฟอเรนต์ขนาดใหญ่
ส่วนกลยุทธ์ในการทำตลาด โรงแรมมุ่งเน้นการให้บริการที่ดีและทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าจ่ายไม่สูง แต่คุ้มค่า หรือ Good Value for Money โดยจะมีการออกโปรโมชันเพื่อกระตุ้นลูกค้าอยู่เสมอ เช่น โปรโมชันพัก 3 จ่าย 2 รวมถึงโปรโมชันในส่วนของ F&B ที่จะมีการเปลี่ยนทุก 3 เดือนให้เหมาะกับเทศกาล เช่น ในขณะนี้มีเทศกาลอาหารฮาลาล ประกอบกับการเข้าร่วมงานเทรดโชว์ต่างๆ ตลอดจนมุ่งเน้นเข้าร่วมโรดโชว์ต่างๆในเอเชีย เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน และดูไบ เป็นต้น รวมถึงในปีหน้าก็มีแผนจะเข้าร่วมงาน ITB ที่เบอร์ลิน และจะเข้าร่วมงานอินเตอร์เนชั่นแนลไมซ์คอมปะนี โดยเป็นการเน้นโรดโชว์ที่อเมริกาและออสเตรเลียด้วย

สำหรับแนวโน้มธุรกิจโรงแรมในไทย ลูกค้าจะเปลี่ยนจากกลุ่มยุโรป เป็นเอเชีย ส่วนกลุ่มคอร์ปอเรตจะเปลี่ยนเป็นเลเชอร์ ทำให้ขณะนี้นักท่องเที่ยวจะมองโรงแรมระดับ 3 และ 4 ดาว ในขณะที่โรงแรม 5 ดาวจะต้องทำราคาให้ต่ำลง เพราะเศรษฐกิจเปลี่ยน นักท่องเที่ยวหันมามองความคุ้มค่าเงินมากกว่า รวมถึงยังมีการเปลี่ยนจุดหมายปลายทางจากกรุงเทพฯ ไปที่ภูเก็ต สมุย ด้วยสำหรับกลุ่มเลเชอร์
อย่างไรก็ดีหากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม สิงคโปร์ หรือฮ่องกง ไทยมีจำนวนโรงแรมมากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยว ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านมีนักท่องเที่ยวมากกว่าจำนวนโรงแรม ยกเว้นการท่องเที่ยวใน สมุย ภูเก็ต พัทยา ก็ยังคงมีราคาห้องพักเฉลี่ยที่สูง เพราะยังเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยว ซึ่งปัญหาโอเวอร์ซัพพลาย จะเกิดเฉพาะโรงแรมระดับ 5 ดาวเท่านั้น แต่ไม่ได้เกิดปัญหากับโรงแรมระดับ 3-4 ดาว ดังนั้น โรงแรม 5 ดาวจึงดัมพ์ราคาลงมาขายในราคา 4 ดาว ไม่เช่นนั้นจะไม่มีลูกค้าเข้าพัก

ส่งผลให้โรงแรมระดับ 4 ดาว รวมถึงแอมบาสซาเดอร์ ต้องปรับราคาห้องพักลงมาต่ำกว่า 4 ดาว จึงทำให้ธุรกิจโรงแรมได้รับผลกระทบตรงนี้ โดยราคาห้องพักเฉลี่ยของแอมบาสซาเดอร์ควรอยู่ที่ราว 1,600 บาท แต่ราคาห้องพักเฉลี่ยขณะนี้อยู่ที่ราว 1,300 บาท ถือว่าต่ำมาก โรงแรมก็ไม่มีทางเลือก แต่ก็ยังหวังว่าราคาจะปรับตัวขึ้นมาเท่าเดิมได้หากการท่องเที่ยวดีขึ้น และโรงแรมตั้งเป้าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยในปีนี้ราว 70-85% เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 20-35% และมีรายได้ราว 460 ล้านบาท ขณะที่ปีหน้าตั้งเป้าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยราว 80% มีราคาห้องพักเฉลี่ยราว 1,500 บาท และมีรายได้ราว 500 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,666 1- 3 กันยายน พ.ศ. 2554